ฟ้า พูลวรลักษณ์ | มนุษย์จะยอมเปลี่ยนโดยดี หรือเปลี่ยนเพราะโดนบังคับ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๖๔.๑๗)

เรามาสู่ยุคสมัยของการมี

๑ ปกติเก่า (Old Normal)

๒ ปกติใหม่ (New Normal)

ที่เรียกว่าปกติเก่า ในยุคก่อนโควิด ก็คือความแออัดยัดเยียด ความยโส ความละโมบ ความกร่างในทางเศรษฐกิจ คิดอะไรก็คิดแต่ในเชิงเศรษฐกิจ

หากเรามาคิดดู สิ่งนี้ผิดหลักสาธารณสุข ผิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือผิดอารยธรรมนั่นเอง

แต่ด้วยความเคยชิน เราจึงเรียกมันว่าความปกติ ทั้งที่จริง มันคือความไม่ปกติ

แต่หลังโควิด เรามีการเปรียบเทียบ เราจึงเข้าใจว่าโลกนี้ดีขึ้นมาก มลภาวะน้อยลงอย่างน่าทึ่ง ทะเลสวยงามขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

แสดงความปกติใหม่ คือสิ่งที่ถูกต้องกว่า หรือปกติกว่า ทำอย่างไร เราจึงจะรักษาความปกตินี้ไว้ได้ ในวันที่โควิดไม่อยู่แล้ว

แต่หากให้เดา หลังโควิด โลกจะย้อนกลับไปสู่ปกติเก่า เพราะแม้ในขณะนี้ ในวันที่โควิดคงอยู่ ฉันก็เห็นคนหลายคนออกมาพูด มาแสดงจุดยืน ว่าต้องการกลับไปเหมือนเดิม กำลังวางแผนจะไปเหมือนเดิม จิตสำนึกราคาแพงของปกติใหม่นี้ก็จะสูญเปล่า

ความผิดปกติอย่างใหญ่หลวงในนครใหญ่ เช่น นิวเดลี กัลกัตตา โตเกียว โอซากา จาการ์ตา ฯลฯ ความแออัดยัดเยียดในยามเช้าและยามเย็น บนท้องถนนและในรถไฟฟ้า ทำอย่างไรจึงจะแก้ได้ ที่จริงมันมีทางแก้ได้ เพราะยุคโควิด เราก็ยังทำได้ หากมนุษย์รู้สึกตัวว่ามันผิดปกติ

และหากมีเหตุผลเพียงพอ มนุษย์ก็ปรับตัวได้ แต่มนุษย์จะยอมแก้หรือ

๒ก่อนโควิด ในแง่ของการดูกีฬา เรามีกีฬานานาชนิด ที่ผู้คนแออัดยัดเยียด วันที่ไม่มีโควิด หากเรายังรักษาระยะห่างในสังคม สนามกีฬาเหล่านั้นจะโหวงเหวง มีคนเข้ามาชมหนึ่งในสิบของยามปกติเก่า ซึ่งหากตีความแบบเก่า หมายถึงกีฬาชนิดนั้นขาดทุน หรือเกือบขาดทุน ไม่ได้รับความสนใจ แต่ที่จริง หากเราปรับตัวเข้าหาปกติใหม่ มันกำลังพอดี แตโดยรวมคือกีฬาทั่วทั้งโลกจะฝ่อตัว อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

คุณรับได้ไหม สำหรับฉัน ฉันพอใจ เพราะที่ผ่านมา มันคือความผิดปกติ

ทำใจได้ยากมาก ที่การกีฬาจะฝ่อตัวลงขนาดนี้ เหลือแค่หนึ่งในสิบ หรือแม้แต่ฝ่อตัวลงเหลือครึ่งหนึ่ง ก็ยากเกินจะรับได้

มิหนำซ้ำ กีฬานานาชนิดยังมีแผนจะทำให้การกีฬาบูมมากขึ้นกว่าเดิม เหมือน baby boom ที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่

ด้วยเพราะการล็อกดาวน์ คนตายไปแค่แสน แต่คนเกิดใหม่เป็นล้าน

๓โรงหนังเองก็ต้องฝ่อตัว เพราะบัดนี้ คนจะนั่งดูบนที่เว้นที่ เท่ากับว่าโรงหนังจะมีที่นั่งลดลงครึ่งหนึ่ง และในแง่จิตใจ คนจะยังชอบดูหนังเหมือนเดิมไหม

สำหรับฉัน ไม่มีความอยากดูหนังในโรงอีกแล้ว ฉันพอใจในการดู Netflix มากกว่า แต่คนที่เป็นแฟนของการดูหนังในโรงก็ยังคงต้องมีอยู่ ฉันคาดว่ามันควรลดลง ควรฝ่อตัวลง แต่วงการฮอลลีวู้ดและโรงหนังคงต้องต่อสู้สุดชีวิต เพื่อจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม

ในภาวะนั้น พวกเขาจะไม่คิดถึงปกติใหม่ใดๆ

ธุรกิจการบินต้องฝ่อตัวลง ด้วยคนจะเดินทางน้อยลง มันเป็นผลพวงมาจากโควิด แม้ในวันที่โควิดจากไปแล้ว ด้วยมนุษย์จะมีจิตสำนึกของการเว้นระยะห่างในสังคม และความตราตรึงของการเหยียดผิว

จริงอยู่ ฉันรู้ว่าฉันยังไปได้ แต่ฉันจะเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น

สภาวะของโลกที่ไร้พรมแดน มันเป็นเพียงความฝัน สิ่งที่ถูกต้องกว่า คือการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่กลัวเชื้อโรค แต่กลัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่า ซึ่งก็หมายถึงการเดินทางที่น้อยลง

ฉันอยากอยู่นิ่งๆ มากกว่า เพราะรู้สึกตัวว่าสิ่งนี้ปกติกว่า วันที่เราเลื่อนลอย เดินทางไปมาเหมือนคนใจลอย น่าจะเพียงพอได้แล้ว แต่ความปกติเก่าจะยอมปล่อยมนุษย์หรือ มันจะเกาะกุมมนุษย์ไว้เหนียวแน่น

เหมือนน้ำมัน คุณอาจเลิกใช้มันได้ แต่ต้องช้าที่สุด การใช้น้ำมันคือความเคยชิน ที่ลึกล้ำ มันเกาะกุมมนุษย์มาเป็นร้อยปีแล้ว

๔สิ่งที่เปิดเผยตัวตน ว่าผิดปกติอย่างแรง คือผับและเหล้าบาร์ ที่จริงสถานที่เหล่านี้ เป็นมิตรกับโควิดอย่างแรง ด้วยเพราะเวลาเรากินเหล้า เราต้องไม่ใส่หน้ากากอนามัย และยามดื่มแอลกอฮอลเหล่านี้ มนุษย์จะตกอยู่ในห้วงที่ขาดสติ จะคุยฟุ้ง จะเฮฮา น้ำลายพุ่งกระจาย จะรักใคร่สนิทสนมกันอย่างยิ่ง จะกอดรัดกัน จะหอมแก้ม จะมีสัมพันธ์กัน จนลืมตัว คนเมาคือคนที่น่าคบอย่างยิ่งยวด

ในอดีต ที่ฉันใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษ ในช่วงเช้าตรู่ของวันสุดสัปดาห์ ฉันจำได้ว่า ออกมาเดินเล่น และตื่นตะลึง เพราะตามผับและเหล้าบาร์เหล่านั้น ผู้คนเพิ่งกำลังจะกลับบ้าน ร้านรวงเริ่มจะปิด ผู้คนจะเดินเฮฮากลับบ้าน ร้องเพลง พูดคุย และมึนเมา

แต่ที่ตื่นตะลึงคือหลังร้านเหล่านั้น ที่กองขยะ ฉันเห็นขวดเปล่าของเหล้าเบียร์ มากมายมหาศาล เป็นกองภูเขา นี้คือปริมาณของเหล้าเบียร์ที่ดื่มกินในหนึ่งราตรี มันมากมายอย่างเหลือเชื่อ และแอลกอฮอล์เหล่านี้ ที่จริงแล้วคือยาพิษอย่างอ่อน มันเป็นต้นเหตุของปัญหามากมายในสังคม แต่ทว่าเราก็ยังดื่มกินมันอย่างเมามัน

เราเรียกสิ่งนี้ว่าความปกติเก่า

แต่ทว่าที่จริงแล้ว มันคือความผิดปกติ แต่มันเคยชินมากจนกระทั่งว่า ไม่มีใครกล้าจะไปแก้ไขมัน และหากทำ ก็จะโดนต่อต้านอย่างรุนแรง

มีแต่โควิด ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ ที่สามารถเข้ามาแก้ไขได้ เพียงแต่วันใดที่โควิดไม่อยู่แล้ว มนุษย์จะยอมปรับตัวเข้าหาสิ่งที่เป็นปกติใหม่ได้ไหม

อย่างน้อย คือการรักษาระยะห่าง การเอาเหล้าเบียร์ไปดื่มกินที่บ้าน พอแล้ว เลิกแล้ว บรรยากาศเฮฮาของความปกติเก่า ต้นเหตุของปัญหาสังคมมากมาย

๕หากเราสามารถรักษาระยะห่างในสังคมได้ แม้ในวันที่โควิดจากไปแล้ว จะประเสริฐยิ่งนัก ถือว่ามนุษย์ได้พัฒนาไปอีกระดับหนึ่งทีเดียว หากเราจะทำอะไรสักอย่าง เราก็ทำได้ มนุษย์สามารถปรับตัวได้ และรัฐก็สามารถช่วยทำสิ่งนี้ให้เป็นจริงได้

หมายถึง ไม่ว่าจะเป็นงานใด หากอย่าได้มีคนมาชุมนุมกันมากนัก เช่น งานแต่งงานหรืองานศพ เราก็จัดเล็กได้ เช่น งานแต่งงาน มีแขกมาสัก ๕๐-๑๐๐ คนก็พอ ไม่จำเป็นต้องเป็นหนึ่งหรือสองพันคน

มันสามารถเป็นงานเล็ก แต่ขลังได้ ผิดกับยุคปกติเก่า บางงานมีคนมาร่วมงานเป็นหมื่น

เช่น บางงานในอินเดีย มันราวกับเป็นหนึ่งเทศกาล นั่นคือความผิดปกติ ที่เรายอมรับไปแล้ว จนไม่มีคำถาม

หรืองานศพก็เช่นกัน สามารถจัดให้มีคนมาเพียง ๕๐-๑๐๐ คน เป็นงานเล็กๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนยุคก่อน ที่คนมาเป็นพันเป็นหมื่น จนล้นทะลักวัด

เราคิดไปเองหรือเปล่า ว่างานศพ คนมายิ่งเยอะยิ่งดี

เรื่อยไปจนถึงพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ก็สามารถปรับตัว เปลี่ยนแปลง ให้เป็นสิ่งเล็ก แต่ขลังได้ พอกันทีกับงานเทศกาลอย่างในเมืองเมกกะ ยุคก่อน มันทำให้เราหลงคิดว่า

นี้คือความยิ่งใหญ่ ทำให้คนไปเมกกะ หลงคิดไปว่า นี่คือความเป็นเอกของโลก ด้วยกำลังคนที่ขับเคลื่อนอย่างแออัด

แต่ที่จริง มันคือความผิดปกติของโลกเก่าต่างหาก นี้คือแม่แบบของวันโลกดับ

คำถามคือ คนสิบล้านหรือยี่สิบล้านคน หากมาอยู่รวมกันในเมืองหนึ่ง จะปรับระบบให้ไม่มีความแออัดได้ไหมนะ ฉันคิดว่าทำได้ แต่ต้องเป็นระบบที่คิดมาดีแล้ว และมนุษย์มีจิตสำนึกที่แรงกล้า จนกระทั่งว่า การรักษาระยะห่างในสังคม กลายเป็นความปกติ และความแออัดยัดเยียด คือความผิดปกติ ระบบการคมนาคมทั้งหมดต้องปรับเปลี่ยน รวมถึงพฤติกรรมของมนุษย์ต้องปรับเปลี่ยน

ที่จริงเราก็มองเห็นอยู่แล้ว ในยุคสมัยโควิด ว่าเราทำได้ เพียงแต่จะทำอย่างไรให้มันยั่งยืน

๖พวกเราคือกลุ่มคนที่คร่อมอยู่บนสองยุค คือยุคก่อนโควิดและหลังโควิด เราคงจะอดพิศวงไม่ได้ ถึงความแตกต่าง เราจะเข้าใจทันทีว่าความปกติที่เราเรียกกัน เปราะบางยิ่งนัก มันขึ้นกับจิตมนุษย์เท่านั้นเอง เราอยากให้มันเป็น มันก็เป็น เราอยากให้มันเกิด มันก็เกิด แต่สองระบบนี้แตกต่างกัน มีระบบหนึ่งที่ดีกว่า ยั่งยืนกว่า และจะนำพามนุษย์ไปไกลกว่า อีกระบบหนึ่งนั่น หากมองย้อนดู มันคือการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ คือการดื่มกินยาพิษทีละน้อย มันคือทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา และพบว่า เรากำลังตกอยู่ในนรก แต่เราเรียกมันว่าสวรรค์

จุดหมายของปกติใหม่คือ

๑ การลดมลภาวะ

๒ การลดจำนวนประชากร

ข้อหลังต้องใช้เวลา หากจะให้มันเป็นไปอย่างนิ่มนวล เป็นธรรมชาติ อาจใช้เวลานานถึง ๕๐๐-๑,๐๐๐ ปี แต่มันจะไปถึง แต่หากมนุษย์ยังคงดื้อรั้น ยังตาบอด ยังหวนกลับไปหาปกติเก่า ไม่ช้าภัยพิบัติใหม่ก็จะเกิดขึ้น ด้วยเพราะโลกนี้จะดำรงอยู่ภายใต้ปกติเก่าไม่ได้แน่

มนุษย์จะยอมเปลี่ยนโดยดี หรือเปลี่ยนเพราะโดนบังคับ


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่