ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 มิถุนายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
เผยแพร่ |
คลิปเหตุการณ์ตำรวจผิวขาวจับกุมนายจอร์จ ฟลอยด์ โดยใช้เข่ากดที่คอแนบกับพื้นถนน พร้อมกับเสียงร้อง ผมหายใจไม่ออกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะขาดอากาศจนตาย กลายเป็นชนวนของการประท้วงใหญ่รุนแรงและลุกลามไปทั่วสหรัฐ
แล้วเกิดเป็นกระแสร่วมต่อต้านการใช้อำนาจเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ ขยายตัวไปทั่วโลก
มีการเคลื่อนไหวในหลายๆ ประเทศ ร่วมเรียกร้องความเป็นธรรมให้จอร์จ ฟลอยด์ และให้ยุติการใช้อคติทางเชื้อชาติ สีผิว ต่อเพื่อนมนุษย์
“ในไทยเราเอง มีการร่วมรณรงค์ในโลกโซเชียล รวมทั้งคนดัง ศิลปินดารา ก็ร่วมด้วย”
สำหรับสหรัฐ เหตุร้ายแรงนี้เรียกได้ว่า เป็นการปะทุของปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน ด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวมีแนวโน้มกระทำรุนแรงต่อคนผิวสีอยู่บ่อยๆ ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผสมเข้ากับความเครียดในวิกฤตโควิด
นำมาสู่การประท้วง จลาจล ครั้งรุนแรงในประวัติศาสตร์สหรัฐ
การประท้วงที่เริ่มอย่างสันติ แต่เมื่อคนฮือออกมาบนท้องถนนมากมายขึ้นและกระจายไปหลายสิบเมือง จึงเริ่มมีการปะทะกับตำรวจปราบจลาจล ทำให้ฝูงชนโกรธแค้น ยกระดับไปสู่การตอบโต้ด้วยความรุนแรงของผู้ชุมนุม
เริ่มจุดไฟเผาอาคารสถานที่ บุกพังทำลายธุรกิจห้างร้าน ตามมาด้วยการฉกชิงข้าวของทรัพย์สิน
“โชคดีที่ม็อบอเมริกันไม่โดนกระบวนการสร้างวาทกรรมให้ร้ายว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง!!”
นักวิชาการด้านวิเคราะห์มวลชนในสหรัฐ แสดงความเห็นผ่านสื่อว่า การประท้วงที่มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก หากเจ้าหน้าที่สามารถเจรจากับผู้ชุมนุมได้ จะเป็นเรื่องสำคัญ
แต่หากเริ่มปะทะกัน แม้มาตรการของสหรัฐจะใช้กระสุนยาง แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย ไม่มีคนล้มตาย แต่ก็ทำให้อารมณ์โกรธแค้นที่มีอยู่แล้วในการมาร่วมประท้วง จึงเพิ่มระดับขึ้น เป็นความรุนแรง เผา ทำลาย
“เริ่มต้นจากอาคารกลุ่มธุรกิจใหญ่ เพราะมีอารมณ์ความเหลื่อมล้ำทางสังคมแฝงอยู่ แต่เมื่อผสมด้วยผู้ประท้วงที่เป็นคนยากจน เป็นอาชญากร จึงเกิดการบุกทำลายห้างร้านเพื่อเอาอาหารและทรัพย์สิน”
เป็นบทวิเคราะห์ของนักวิชาการต่อกระบวนการประท้วง ที่ลุกลามกลายเป็นจลาจลรุนแรงอย่างน่าสนใจ
ม็อบทั่วโลกเป็นไปในทิศทางเดียวกันนี้ และไม่มีวิชามารมาสร้างกระแสทำลายว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมืองแต่อย่างใด ยกเว้นในบ้านเรา!
ก่อนหน้านี้ ในสหรัฐเองก็เผชิญกับสถานการณ์โควิดอย่างหนักหน่วง ประชากรล้มป่วยและเสียชีวิตมหาศาล ก่อนจะมาเกิดเหตุจอร์จ ฟลอยด์ ทำให้คนหลั่งไหลออกมาประท้วงลงถนน จนลืมโรคระบาดไปหมดสิ้น
ในช่วงโควิดนั้น คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยแสดงพฤติกรรมเหยียดคนเอเชียที่พักอาศัยในสหรัฐอย่างรุนแรง และเป็นวงกว้าง
แสดงการต่อต้านชาวจีน ว่าเป็นต้นตอเชื้อไวรัส แล้วเหมารวมถึงคนเอเชีย ชาวผิวเหลืองทั้งหมด มีการชี้หน้าด่าทอเมื่อพบเห็นตามที่ต่างๆ ถ่มน้ำลายใส่ ไปจนถึงทำร้ายร่างกาย
“ส่วนหนึ่งเพราะชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย มักถือว่าตนเองเป็นชาติยิ่งใหญ่ เป็นมหาอำนาจของโลก จึงมีทัศนะเหยียดหยามคนชาติอื่นว่าด้อยกว่า”
ขณะเดียวกัน ความที่ทุกสังคมในโลกมักมีคนทัศนคติล้าหลัง ฝ่ายขวามีมากกว่าซ้าย แม้แต่ในชาติที่เจริญและมีประชาธิปไตยแข็งแกร่งเช่นสหรัฐ คนในฝ่ายขวาจัดก็มีจำนวนมาก ยังชอบดูหนังฮอลลีวู้ดที่พระเอกต้องเป็นอเมริกันฮีโร่อยู่
ปัญหาผิวขาวเหยียดผิวสี จึงมีอยู่กว้างขวางและสั่งสมมาตลอดในประเทศนี้
ดังนั้น เมื่อมีกรณีจอร์จ ฟลอยด์ จึงทำให้คนผิวสีที่ถูกข่มเหงมานาน และคนผิวขาวที่เคารพสิทธิมนุษยชน ออกมาประท้วงกันครั้งใหญ่
“ทั้งที่เป็นการตายของคนเพียงคนเดียว แต่มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งแสดงถึงอคติทางเชื้อชาติที่มีต่อเนื่องมายาวนาน กรณีนี้จึงเป็นฟางเส้นสุดท้าย”
ส่วนหนึ่งเพราะพื้นฐานของสังคมอเมริกันนั้นเป็นสังคมแห่งเสรีภาพ คนที่รู้สึกว่าถูกกดมาตลอด มาถึงจุดหนึ่งก็พร้อมจะลุกขึ้นมาทวงความเป็นธรรม เพราะเป็นสังคมที่สอนคนไม่ให้หัวอ่อนว่านอนสอนง่าย
“คนตายแม้เพียงคนเดียว แต่เมื่อชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุ ผสมการเหยียดมนุษย์ เช่นนี้แล้ว ผู้คนที่มีพื้นฐานหวงแหนในสิทธิเสรีภาพก็ยอมไม่ได้ แม้แค่ศพเดียวก็ตาม”
น่าสนใจว่า ในบางประเทศ ที่ถูกปลูกฝังให้มีความคิดยอมจำนน เชื่อว่าประชาชนยังไม่มีความรู้ทางการเมืองดีพอ ยังไม่ควรมีอำนาจทางการเมืองใดๆ ก็เลยยอมให้มีการเอารถถังออกมาล้มประชาธิปไตย แล้วปกครองโดยรัฐบาลทหารได้บ่อยๆ ทั้งที่เป็นระบบซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิ ไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองใดๆ เลย
ความคิดยอมจำนน ทำให้ประชาชนที่ประท้วงเรียกหาประชาธิปไตยถูกยิงตายไปกว่า 70 ศพ เมื่อปี 2516 ถูกฆ่ากว่าครึ่งร้อยเมื่อปี 2519 และอีกครึ่งร้อยในปี 2535 จนล่าสุดปี 2553 รวม 99 ศพ
โดยที่ทั้งสังคมยอมให้คนกระทำผิดลอยนวลตลอด ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องกับการสั่งการ ไม่เคยรับผิดชอบอะไร
ที่สหรัฐ แค่จอร์จ ฟลอยด์ ก็ประท้วงใหญ่ไปทั่วประเทศทันที!!
การประท้วงในสหรัฐ ที่คนทั่วโลกเห็นด้วย ทำให้กระแสการต่อต้านการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ ขยายตัวไปทั่วในขณะนี้
คนไทยก็ร่วมด้วย เพราะประเด็นความอยุติธรรมต่อคนผิวสี เป็นหลักสากล เข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ภาพการจลาจลที่เต็มไปด้วยความรุนแรง จุดไฟเผาสถานที่ต่างๆ บุกพังบริษัทห้างร้าน ไม่ว่าจะมองภาพพฤติกรรมของผู้ประท้วงบางส่วนเหล่านี้เช่นไร
“กลับไม่มีใครเอาเรื่องการเผาตึกทำลายอาคารนี้มาเป็นประเด็นใหญ่ ทำลายความชอบธรรมของเป้าหมายในการประท้วง”
อีกทั้งหากศึกษาเรียนรู้จากม็อบทั่วโลก จะรู้ว่า เมื่อมวลชนโกรธแค้นมากๆ เข้า หากเกิดปะทะกับเจ้าหน้าที่ ก็จะเพิ่มระดับเป็นการเผาทำลายเพื่อตอบโต้
“ขนาดในสหรัฐ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้กระสุนจริงยิงผู้ชุมนุม ก็ยังลุกลามรุนแรงได้!”
ส่วนในบ้านเรา ย้อนดู 14 ตุลาคม 2516 มีการเผาอาคารหน่วยราชการที่ประชาชนชิงชัง และเพื่อตอบโต้การเอาทหารพร้อมกระสุนจริงมายิงม็อบ
พฤษภาคม 2535 ประท้วงไล่รัฐบาลทหาร รสช. ก็มีการเผาโรงพัก ตอบโต้ที่ใช้กระสุนจริงสลายการชุมนุมจนล้มตายจำนวนมาก
เมษายน-พฤษภาคม 2553 ผู้ชุมนุมเผายางรถยนต์หลายจุด เพื่อป้องกันการยิงด้วยกระสุนวิถีไกลจากหน่วยสไนเปอร์ แต่ต่อมามีการเผาห้าง โรงหนัง ซึ่งคดียังไม่ชัดเจนว่าฝีมือใคร แต่ถูกกระบวนการสร้างวาทกรรมเผาบ้านเผาเมือง ใส่ร้ายการชุมนุม และกลบเกลื่อนที่ประชาชนถูกยิงด้วยกระสุนจริงร่วมร้อยศพ
“ประชาชนถูกยิงตาย 99 ศพ โดย 17 ศพ ศาลชี้ผลไต่สวนชันสูตรศพแล้วว่าถูกยิงตายด้วยปืนเจ้าหน้าที่ตามคำสั่ง ศอฉ. ทั้งมีภาพ มีคลิป เห็นเจ้าหน้าที่ลงมือยิงอีกหลายจุด”
แต่จนถึงวันนี้ ผู้กระทำผิด ผู้มีอำนาจรับผิดชอบ ยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆ เลย ยังไม่มีคดีพิสูจน์ความจริงกันเลย
ถ้าเป็นสังคมที่ประชาชนเชื่อมั่นว่าทุกคนมีเสรีภาพ มีสิทธิทางการเมืองเต็มเปี่ยม ไม่ใช่สังคมคนหัวอ่อน ก็จะไม่ยินยอมให้รัฐกระทำรุนแรงต่อชีวิตคนถึง 99 ศพเช่นนี้
ดังเช่นที่สหรัฐ แค่ศพเดียว เขาก็ลุกฮือไม่ปล่อยให้ลอยนวล และจะไม่ให้ใครมากระทำเช่นนี้อีก!
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่