รายงานพิเศษ / บนถนนสายพี่ใหญ่ ‘บิ๊กป้อม’ คว้าดาว คุมพรรค ค้ำ ‘3 ป.’ จับตา ‘บิ๊กตู่’ ยึดกองทัพ ทบ.ระอุ ชิง ‘เสธ.ทบ.’ เมื่อ 4 แม่ทัพภาค ชิง 5 เสือ

รายงานพิเศษ

 

บนถนนสายพี่ใหญ่

‘บิ๊กป้อม’ คว้าดาว

คุมพรรค ค้ำ ‘3 ป.’

จับตา ‘บิ๊กตู่’ ยึดกองทัพ

ทบ.ระอุ ชิง ‘เสธ.ทบ.’

เมื่อ 4 แม่ทัพภาค ชิง 5 เสือ

 

แม้ความเป็นแผงอำนาจ “3 ป.” จะมีความเข้มแข็ง เหนียวแน่น เป็นปึกแผ่น

แต่การวางตัว ท่าทีของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เองต่างหาก ที่ทำให้ถูกมองว่าเกิดความขัดแย้งกับบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่

ด้วยเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยังเหนียมที่จะทำให้สังคมรับรู้ว่า กลเกมทางการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ที่นำไปสู่การดัน พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่พี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ได้มีการหารือและวางแผนร่วมกันมา

ดราม่าและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ต้องรักษาภาพของนายกฯ คนนอก ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค หรืออยู่ในพรรคพลังประชารัฐ

ทั้งๆ ที่ก็รู้กันดีว่า พรรคพลังประชารัฐก็คือพรรคของ คสช. และเป็นพรรคของ 3 ป.ที่ตั้งขึ้น เพื่อรองรับการลงจากหลังเสือ แผงอำนาจรัฐประหาร ลงสู่สนามการเมือง

แต่ทว่าเหนียมที่จะเปิดหน้าเปิดตัว เพราะจะถูกมองว่า ตั้งพรรคเพื่อสืบทอดอำนาจ

จึงต้องเดือดร้อนให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีม 4 กุมาร ที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. ออกหน้าแทน จนนายอุตตม สาวนายน ต้องมาเป็นหัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค

แล้วก็แสดงละครในการนำนโยบายพรรค และเทียบเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง จนถูกวิจารณ์ว่าจัดตั้งรัฐบาลกันในทำเนียบรัฐบาลเลย

จนที่สุด มาเกิดความวุ่นวายในวันนี้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ส่ง พล.อ.ประวิตรมายึดพรรคพลังประชารัฐคืน แต่กลุ่มของนายสมคิดไม่ยอมง่ายๆ ต้องมีการต่อรอง

ถึงขั้นเล่นเกมไปจับมือกับกลุ่มสามมิตร ต่อรองเก้าอี้ ถ้าหลุด ครม.หรือไม่ได้เก้าอี้ ก็จะแยกวงไปตั้งพรรคใหม่

แต่ท้ายที่สุด กลุ่มสามมิตรไม่เอาด้วย ตบเท้าเข้ายอมสยบกับ พล.อ.ประวิตร จนทำให้นายสมคิดต้องบ่น เบื่อเต็มทีกลางสภา ระหว่างการชี้แจง พ.ร.ก.เงินกู้ ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์เหน็บแนมฝ่ายที่เคลื่อนไหวหนุน พล.อ.ประวิตร

 

กล่าวกันว่า สาเหตุหนึ่งที่ฝ่ายนายสมคิดไม่ยอมง่ายๆ เพราะท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยังคงเกรงอกเกรงใจ ยังมีเยื่อใย ทำดี พูดดีกับฝ่ายนายสมคิด

จนเป็นที่มาของกระแสข่าวลือที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่หนุน พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรค และมีความขัดแย้งกันในหมู่พี่น้อง

ถึงขั้นที่ทำให้เกิดกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรต้องการเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแทน พล.อ.ประยุทธ์

ที่ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามร่วมผสมโรง ตอกกระแสเสี้ยมให้พี่น้องขัดแย้งแตกแยก ตีปี๊บว่า พล.อ.ประวิตรเตรียมเป็นนายกฯ

นั่นเพราะความไม่กล้าแสดงออกของ พล.อ.ประยุทธ์ให้ชัดเจนว่า 3 พี่น้องเป็นหนึ่ง จะทำอะไรคือร่วมกันคิดมาแล้ว

ตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ยังรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง ด้วยการออกมาปรามความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ

ทั้งที่ระบุว่า อย่าไป “ดราม่า” กันเยอะแยะไปหมด เพราะมันทำให้ “สมองมันไม่ว่าง”

รวมทั้งที่ว่า “อย่าให้มีปัญหาอย่างอื่นต่อไปอีกเลย แค่นี้ก็พอแล้ว วุ่นวายพอสมควร”

ที่เสมือนเป็นการลอยตัวออกมาจากความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร

ที่ก็ยิ่งทำให้ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่กลายเป็นผู้ร้ายที่มาเคลื่อนไหวเพื่อที่จะเป็นหัวหน้าพรรคในช่วงที่สถานการณ์โควิดก็ยังไม่หมดไป

โดยเฉพาะกองเชียร์บิ๊กตู่ที่ออกมาถล่ม พล.อ.ประวิตรและพวก ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เสียสมาธิในการทำงานในการแก้ปัญหาโควิด

ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนี้ ทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล้วนร่วมคิดและตกผลึกทุกย่างก้าวที่เดินมาด้วยกัน

 

พี่น้อง 3 ป.จะทำอะไร ได้คิดร่วมกันมาก่อนแล้ว แต่หลายเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่กล้าตัดสินใจ พล.อ.ประวิตรในฐานะพี่ใหญ่ ก็จะบอกว่า “มา!! กูเอง”

ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เกรงใจนายสมคิดและทีมงาน เพราะช่วยตั้งพรรค และช่วยงานตอนเป็นรัฐมนตรี เป็นทีมเศรษฐกิจให้มาตั้งแต่รัฐบาล คสช.

พล.อ.ประวิตรรับอาสาเดินเกมในพรรคพลังประชารัฐเอง จนมาสู่การที่กรรมการบริหารพรรค 18 คนลาออก เพื่อเปิดทางให้เลือกชุดใหม่ และเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตรมาเป็นหัวหน้าพรรค

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ เพราะยังถูกมองว่าล้มเหลวในการแก้ปัญหามาตลอดในยุค คสช. อีกทั้งกลุ่มของนายสมคิดไม่มี ส.ส.ในมือด้วย แต่ยึดเก้าอี้ รมต.ถึง 4 คน

ในฐานะพี่ใหญ่ สไตล์บิ๊กป้อมนั้นไม่กลัวใคร ไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว และยิ่งรู้ว่า ที่มาของกระแสข่าวที่โจมตีตนเองในห้วงที่ผ่านมาด้วยแล้ว พล.อ.ประวิตรก็เดินหน้าเต็มตัว

เพราะพี่น้อง 3 ป.คุยกันไว้แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ แก้ปัญหา ทำให้ประชาชนพอใจ รักษาคะแนนนิยมให้ได้

ส่วนเรื่องการเมือง ในการเจรจาต่อรอง หรือการคุมพรรค พปชร. และดีลกับพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลนั้น เป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประวิตรพี่ใหญ่ ที่มีคอนเน็กชั่นกับหลายพรรค แม้แต่พรรคเพื่อไทย คนใกล้ชิดนายทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่บ้านจันทร์ส่องหล้า

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเป็น รมว.กลาโหม คุมกองทัพ คุมตำรวจเองหมด เพื่อตัดปัญหาที่จะถูกโจมตีพาดพิงเชื่อมโยงกับ พล.อ.ประวิตร ที่เป็นรองนายกฯ แค่เก้าอี้เดียว

รวมทั้งการส่ง พล.อ.ประวิตรมาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐก่อนหน้านี้นั่นแล้ว ก็รู้กันแล้วว่า เตรียมมาเป็นหัวหน้าพรรค

 

แต่ทว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในพรรค จากการปรับคณะรัฐมนตรีที่จะตามมาในไม่ช้า และความวุ่นวายจากภายนอกและฝ่ายตรงข้าม ที่มีการปล่อยกระแสข่าว พล.อ.ประวิตรจะมาเป็นนายกฯ นั้น อาจนำมาซึ่งปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม

เพราะหาก พล.อ.ประวิตรดูแลพรรคไม่ได้ เกิดความขัดแย้งวุ่นวายตามมา โดยเฉพาะเมื่อปรับ ครม.แล้ว อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องมาเป็นหัวหน้าพรรคเองก็เป็นได้

แต่ในขั้นนี้ พล.อ.ประวิตรเตรียมนับถอยหลังสู่การเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแล้ว

สร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเอง ที่แม้จะไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ก็เป็นหัวหน้าพรรค ที่เปรียบเสมือนนายกฯ เงา ที่อยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นพี่ใหญ่ผู้ให้กำเนิดนายกฯ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์

ที่ก็มักจะพูดเสมอว่า ที่ตนเองมีวันนี้ได้ก็เพราะพี่ป้อม พี่ป๊อก

เช่นเดียวกัน พล.อ.อนุพงษ์ และโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ยืนยันตลอดว่า ไม่เคยคิดอยากเป็นนายกฯ เพราะมองว่า พล.อ.ประยุทธ์เหมาะสมแล้ว

“ไม่มี ไม่เคยคิดอยากเป็นนายกฯ นายกฯ เหมาะสมอยู่แล้ว ถ้านายกฯ จบ ไม่เป็นนายกฯ ไม่เล่นการเมือง ผมก็จบเหมือนกัน ไม่เล่นต่อ ไม่มีเป็นแทน” พล.อ.ประวิตรสยบกระแสดราม่าที่ว่า หวังจะเป็นนายกฯ

เพราะถ้าพี่น้อง 3 ป. ทหารเสือราชินี แตกแยกกันเมื่อใด เมื่อนั้นแผงอำนาจบูรพาพยัคฆ์ก็จะจบสิ้นเมื่อนั้น

 

ขณะที่การเมืองร้อนแรงวุ่นวาย กองทัพก็เริ่มร้อนระอุ เมื่อเริ่มเข้าฤดูแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ที่ ผบ.เหล่าทัพเริ่มทำโผกันแล้ว เพราะกลางกรกฎาคมนี้ จะต้องหารือโผแรก

แถมจะเป็นโยกย้ายใหญ่เพราะเปลี่ยน ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด, ผบ.ทบ., ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. ทดแทนคนที่จะเกษียณ อันเป็นจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์จะจัดวางตัวนายทหารที่ไว้วางใจมาคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ

แม้จะมีตัวเต็ง หรือว่าที่ ผบ.เหล่าทัพ และตำแหน่งหลักๆ กันแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอน

โดยเฉพาะที่กองทัพบก แม้บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. จะเป็นว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่จะขึ้นมาแทนบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่จะเกษียณราชการ

แต่ก็ใช่ว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์จะสามารถจัดวางตัวตำแหน่งต่างๆ ได้เลย เพราะยังคงเป็นอำนาจของ พล.อ.อภิรัชต์

โดยเฉพาะการเลือก 5 เสือ ทบ.ชุดใหม่ ที่ส่วนใหญ่มักจะต้องให้ ผบ.ทบ.คนใหม่ได้เลือกทีมเวิร์ก โดยเฉพาะตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ที่จะมาเป็น เสธ.คู่ใจในการทำงาน

แม้จะมีข่าวว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ต้องการดันบิ๊กโต้ง พล.อ.อภินันท์ คำเพราะ เพื่อนรักเตรียมทหาร 22 ที่เป็นหัวหน้าสำนักงาน ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ.ก็ตาม

แต่ต้องไม่ลืมว่า ในการโยกย้ายครั้งนี้ มีระดับแม่ทัพภาคถึง 4 คน เป็นแคนดิเดตที่จะขึ้นมาเป็น 5 เสือ ทบ.

ทั้งบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 บิ๊กอี๊ด พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่ 2 บิ๊กป๋อ พล.ท.ฉลองชัย ชัยยะคำ แม่ทัพภาคที่ 3 และบิ๊กเดฟ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4

โดยที่ พล.ท.ฉลองชัย และ พล.ท.พรศักดิ์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.20 ของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่คาดว่าจะขึ้นเป็นพลเอก ผช.ผบ.ทบ.

ส่วน เสธ.ทบ. ที่ควรจะเป็นนายทหารที่โตมาจากฝ่ายอำนวยการ สายบุ๋น โดยเฉพาะในกรมยุทธการทหารบกก็ตาม

แต่เพราะ เสธ.ทบ. ต้องเป็นเลขาธิการ กอ.รมน.ด้วย จึงทำให้ชื่อของ พล.ท.ธรรมนูญเป็นอีกหนึ่งแคนดิเดต เพราะนอกจากเป็นคอมแมนด์คุมสายกำลังรบแล้ว ก็ทำงานในสาย กอ.รมน.มาตลอด รวมทั้งเป็นเพื่อน ตท.22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ด้วย

โดยมีบิ๊กหน่อย พล.ท.วรเกียรติ รัตนานนท์ รอง เสธ.ทบ. ที่โตมาจากฝ่ายอำนวยการ ก็เป็นแคนดิเดตเช่นกัน แถมเป็น ตท.20 เพื่อนของ พล.อ.อภิรัชต์อีกด้วย

อีกทั้งมีการเตรียมตัวที่จะส่ง พล.ท.วรเกียรติ หลังจากขึ้น 5 เสือ ทบ.ในโผนี้แล้ว ข้ามไปเป็นปลัดกลาโหม ในโยกย้ายปลายปี 2564 เมื่อบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ เกษียณราชการ

 

แต่การจัดระดับหัวของ ทบ.ก็ยังไม่ลงตัว เพราะหวั่นกันว่าจะขาดมือทำงานสายบุ๋น เพราะแคนดิเดตล้วนมาจากสายบู๊ เป็นแม่ทัพภาคมาทั้งสิ้น

แม้แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ว่าที่ ผบ.ทบ.เองก็โตมาจากสายคอมแมนด์

จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์กำลังคิดหนักว่า จะจัดวางตัว 5 เสือ ทบ.แบบไหน

เพราะ 2 ปีที่ พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ทบ.นั้น ก็มีทั้งบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. และบิ๊กเป้ง พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เสธ.ทบ. ที่ล้วนโตมาจากกรมยุทธการ ทบ. ทำงานให้

แต่โผนี้ ถึงเวลาที่ต้องขยับฝ่ายมันสมองของ ทบ. ทั้ง พล.อ.ณัฐพล และ พล.อ.ธีรวัฒน์ ที่คาดว่าจะมีแค่คนใดคนหนึ่งที่ได้อยู่ ทบ.ต่อ

คนหนึ่งอาจจะขยับขึ้นรอง ผบ.ทบ. หรือถูกส่งไปเป็นรองปลัดกลาโหม

โดยเฉพาะ พล.อ.ณัฐพลที่กำลังถูกจับตามองอย่างหนักว่า ในที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจให้นั่งเก้าอี้ใด

หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์เรียกตัวจาก ทบ.มาช่วยงานใน ศบค.ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยอยู่ใน ศบค.ส่วนกลาง และคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณามาตรการผ่อนคลายฯ

จนจับตามองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ตั้งใจจะวางตัว พล.อ.ณัฐพลไว้เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือไม่ จึงให้มาทำงานร่วมกับบิ๊กอั๋น พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาฯ สมช.ทุกเรื่อง

จน พล.อ.ประยุทธ์เคยเอ่ยปากหยั่งเชิงเมื่อมีข่าวในหน้าสื่อว่า จะมาเป็นเลขาฯ สมช.หรือ แต่ พล.อ.ณัฐพลปฏิเสธ

ด้วยเพราะ พล.อ.ณัฐพลรู้ว่ามีบิ๊กโจ้ พล.อ.ณตฐพล บุญงาม ที่มาช่วยราชการ สมช. รุ่นน้อง ตท.21 ที่มีอายุราชการถึงกันยายน 2565 จ่อคิวอยู่แล้ว

พล.อ.ณัฐพลรู้ตัวเองว่าไม่เหมาะกับงาน สมช. แต่อยากทำงานในกองทัพมากกว่า

 

ที่สำคัญ กระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะส่ง พล.อ.ณัฐพลไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็ยังมาแรงใน บก.ทัพไทย

ทั้งนี้เพราะตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไม่จำเป็นต้องเป็นนายทหารคอแดง ที่อยู่ใน ฉก.ทม.รอ.904 หรือผ่านหลักสูตรการฝึกของหน่วย ต่างจากนายทหารที่จะเป็น ผบ.ทบ. ที่ต้องเป็นทหารคอแดง เช่น พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่ยังเป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 อีกด้วย

อีกทั้งบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ที่จ่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่นั้น มีอายุราชการถึงกันยายน 2566 คือสามารถเปิดทางให้ พล.อ.ณัฐพลมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดก่อน 1 ปี เพราะจะเกษียณกันยายน 2564

แต่ต้องไม่ลืมว่า พล.อ.อภิรัชต์เป็นผู้สนับสนุนหลักของ พล.อ.เฉลิมพล ในการเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพราะส่งตัวมาจาก ทบ.เพื่อการนี้โดยตรง

จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวว่า พล.อ.ณัฐพล กับ พล.อ.อภิรัชต์ ที่แม้จะเป็นเพื่อน ตท.20 ด้วยกัน จึงมองหน้ากันได้ไม่สนิทใจนัก

โดยมีรายงานข่าวว่า พล.อ.ณัฐพลพร้อมที่จะเป็นรอง ผบ.ทบ.ครองอัตราจอมพลต่อเป็นปีที่ 3 เป็นปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เพื่อช่วยงาน พล.อ.ณรงค์พันธ์ต่อไป

ที่ไปๆ มาๆ พล.อ.ณัฐพลถูกตีกันในทุกตำแหน่งในกองทัพ และเกิดกระแสหนุนให้ข้ามไปเป็นเลขาฯ สมช.เลยลงตัวที่สุด

แต่ พล.อ.ณัฐพลปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งเลขาฯ สมช. และพร้อมที่จะอยู่ที่เดิมจนเกษียณ

 

พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องคิดหนักว่า จะวาง พล.อ.ณัฐพลน้องรักไว้ตรงไหน ที่เหมาะสมกับผลงานและการทำงานที่ผ่านมา ที่ช่วยงานมาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ. หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี จนมาปัจจุบัน

เพราะการที่รัฐบาลจะมั่นคงแข็งแกร่งกลางการเมืองที่วุ่นวายได้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องเลือก ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่เอง

ทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด ว่าจะให้ พล.อ.เฉลิมพลขึ้นเป็นประมุขเสือป่า แจ้งวัฒนะ ตามที่ พล.อ.อภิรัชต์วางไว้ หรือจะให้ พล.อ.ณัฐพลมาคั่นก่อน

 

ส่วนกองทัพเรือ มีการจับตา 2 แคนดิเดต คือ บิ๊กช่อ พล.ร.อ.ช่อฉัตร กระเทศ รอง ผบ.ทร. (ตท.19) และบิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผช.ผบ.ทร. (ตท.20)

แต่คาดกันว่า พล.ร.อ.ลือชัยจะเสนอชื่อ พล.ร.อ.ชาติชายเป็น ผบ.ทร.คนใหม่

ส่วนทัพฟ้า มีบิ๊กจ้อ พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี ผช.ผบ.ทอ. (ตท.20) เป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทอ.คนใหม่ ที่คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ล้วงลูกทหารเรือ ทหารอากาศ

           แต่ที่ บก.ทัพไทย และ ทบ. อาจจะมีการเขย่ากันใหม่อีกครั้ง

 


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่