อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ความฝัน-ความจริงของโลกแห่งอาหาร

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (32)
เรื่องเล่าจากเหมืองเกลือบทที่สิบ

เปิดม่าน

องก์ที่ 1

เอนริเก้ : ทำไมทุ่งหญ้าแห่งนี้จึงไม่มีเส้นขอบฟ้า?

มานูเอล : มีสิ เพียงแต่ท่านมองไม่เห็นเองต่างหากเล่า

เอนริเก้ : สายตาข้าฯ ยังดีอยู่ ข้าฯ เพ่งมองไปรอบๆ ตัว แต่หาได้มองเห็นเส้นขอบฟ้าไม่

มานูเอล : ท่านต้องเพ่งมองมันให้นานพอ หรือมิเช่นนั้นก็อย่าสนใจมันเลยจะดีกว่า

เอนริเก้ : แต่ท่านพาข้าฯ มาที่นี้ สถานที่แห่งนี้ ทุ่งหญ้าแห่งนี้ต้องมีความหมายสิ ท่านคงไม่พาข้าฯ ข้ามทุกสิ่งมายังที่นี่โดยปราศจากเหตุผลเป็นแน่

มานูเอล : ท่านเข้าใจถูกแล้ว เอนริเก้ ข้าฯ พาท่านมาที่นี่อย่างมีความหมาย อย่างมีเจตจำนงที่ชัดเจน แต่ท่านเพ่งความสนใจในสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญ นั่นจึงทำให้ท่านยังประหลาดใจอยู่มิรู้คลาย

เอนริเก้ : ท่านช่างพูดคล้ายกับพวกนักปรัชญากรีกเสียเหลือเกิน สิ่งนั้นสิที่เป็นสาระสำคัญหาใช่สิ่งอื่นไม่

มานูเอล : ข้ามีเพียงแต่บทสนทนากับท่านเท่านั้น ไม่มีนัยซ่อนเร้นใดๆ เลย

ท่านบอกข้าฯ ที่ริมทะเลนั่นว่าท่านจะทำจามอนให้กับข้าฯ ตลอดไป นั่นไม่มีนัยสำคัญใดเลยหรือ?

มานูเอล : ในที่สุดท่านก็จำได้ มันไม่มีนัยสำคัญใดเลยในข้อความนั้น ข้าฯ ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ

เอนริเก้ : ใช่ ข้าฯ จำได้ มันช่างน่าประหลาดใจยิ่งนักที่ในบัดดลท่านก็ปรากฏตัวขึ้น ท่านผู้ที่หายสาบสูญไปนานปี ข้าฯ ไม่เพียงแต่ประหลาดใจที่ท่านรับปากว่าจะทำจามอนให้ข้าฯ หากแต่ยังประหลาดใจที่ท่านปรากฏตัวขึ้นด้วย

มานูเอล : มันคือเรื่องเดียวกันเอนริเก้ ทั้งเรื่องที่ข้าฯ รับปากจะกระทำให้ท่านและเรื่องที่ข้าฯ ปรากฏตัวต่อท่าน อาจกล่าวได้ว่าที่ข้าฯ ปรากฏตัวต่อท่านเพราะข้าฯ มีบางสิ่งที่ต้องกระทำให้ท่าน และเพราะข้าฯ มีบางสิ่งที่ต้องกระทำให้ท่านทำให้ข้าฯต้องปรากฏตัวขึ้น

เอนริเก้ : ท่านจะกระทำบางอย่างให้ข้าฯ และท่านปรารถนาให้ข้าฯ กระทำบางอย่างให้ท่านบ้างหรือไม่

(มีเสียงสายลมพัดผ่าน เป็นลมเเบบที่เราได้ยินในท้องทุ่งโล่ง)

มานูเอล : มีสิ และอาจเป็นคำขอร้องที่ถือว่าปัจจุบันทันด่วนมากด้วยซ้ำไป

เอนริเก้ : โปรดบอกกับข้าฯ อย่าลังเล ในมิตรภาพอันยาวนาน หากมีบางสิ่งที่ข้าฯทำให้ท่านได้ ข้าฯ ย่อมไม่ลังเล

มานูเอล : นับจากนี้อีกไม่นานวัน ลูกสาวของข้าฯ จะจบการศึกษา นางและแม่ของนางจะจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้น ข้าฯ อยากขอร้องให้ท่านนำจามอนฝีมือของข้าฯ ไปร่วมในงานเลี้ยงของนางด้วย

เอนริเก้ : ท่านมีจามอนแล้วหรือ?

มานูเอล : มีสิ มันอยู่ที่นั่นอย่างไรเล่า

(มานูเอลชี้นิ้วไปที่เส้นขอบฟ้า มีแสงสว่างวาบขึ้น)

ปิดม่าน จบองก์ที่ 1

 

องก์ที่ 2

เอนริเก้และมานูเอลนั่งกินอาหารอยู่บนโต๊ะ มีจามอนขาหนึ่งอยู่ตรงกลางโต๊ะ มีเสียงเพลงเต้นรำของพวกยิปซีดังคลออยู่ เอนริเก้เฉือนจามอนออกเป็นแผ่นบางๆ ใส่จานให้มานูเอล

เอนริเก้ : นานเหลือเกินที่ข้าฯ ไม่ได้ลิ้มรสฝีมือท่าน นานจนข้าฯ ถึงกับอดคิดไม่ได้ว่าท่านได้จากโลกนี้ไปแล้ว

มานูเอล : ข้าฯ ก็คิดว่าตนเองจากโลกนี้ไปแล้วเช่นกัน

เอนริเก้ : ท่านยังอยู่ในโลกเดียวกับข้าฯ ใช่หรือไม่?

มานูเอล : ในโลกของอาหาร ข้าฯ อยู่ในโลกเดียวกับท่านแน่นอน แต่ในโลกแห่งความจริง ข้าฯ ยังไม่แน่ใจนัก

เอนริเก้ : เพราะเหตุใดเล่า?

มานูเอล : เพราะในโลกแห่งอาหาร ข้าฯ กับท่านโยงใยถึงกันด้วยลิ้นและรสชาติ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันมีบางสิ่งที่มากกว่านั้น ในโลกแห่งความเป็นจริงข้าฯ อาจเป็นเพียงความฝันของใครบางคนว่าข้าฯมีตัวตนที่แท้จริงก็เป็นได้

เอนริเก้ : มานูเอล ท่านพูดในสิ่งที่ยากเกินจะเข้าใจขึ้นทุกขณะ ข้าฯ คิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดในการอธิบายเรื่องนี้คือการเล่าถึงการหายตัวไปของท่านเป็นอันดับแรก

มานูเอล : ดูเหมือนว่าท่านคิดว่านั่นคือที่มาของคำเฉลยทั้งหมด

เอนริเก้ : ข้าไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ดีกว่านั้นเลย

มานูเอล : เอาล่ะ ข้าฯ จะเริ่มการเล่าเรื่องของข้าฯ อย่างช้าๆ เพื่อที่ท่านจะได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ หากมีช่วงใดที่ท่านมีคำถาม โปรดอย่าลังเล

เอนริเก้พยักหน้าเบาๆ แสงไฟเลื่อนจากร่างของบุคคลทั้งสองมาจับที่จามอนซึ่งเป็นท่อนขาหลังของหมูที่กลางโต๊ะ

มานูเอล : เช้าวันนั้น ข้าฯ เดินออกจากบ้านไปที่โรงทำจามอน ข้าฯ เข้าไปในโรงไม้แห่งนั้น ตรวจตราจามอนที่ถูกแขวนไว้นับร้อยๆ ชิ้นอย่างตั้งใจ กลิ่นหอมของเกลือที่คลุกเคล้าเข้าที่กับขาหลังของหมูไอบีเรียนั้นเป็นกลิ่นที่ข้าฯ ชอบมากที่สุดในยามเช้า ข้าฯ เดินวนเวียนอยู่ในนั้นนานนับชั่วโมง จนคิดได้ว่าถึงเวลาที่ควรกลับไปกินอาหารเช้ากับภรรยาเสียที แต่เมื่อข้าฯ ออกจากโรงเก็บจามอนนั้น ทัศนียภาพเบื้องหน้าของข้าฯ กลับเป็นสิ่งที่ข้าฯ ไม่คุ้นเคยเอาเลย ทางเดินที่เชื่อมระหว่างโรงเก็บจามอนกับบ้านของข้าฯ นั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ท่านคงพอนึกออก มันคือทุ่งหญ้าแบบเดเฮซ่าที่ใช้เลี้ยงหมูไอบีเรีย ข้าฯ ยืนตกตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า แต่ทุกสิ่งไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ชั่วเวลาถัดมา มีหมูไอบีเรียจำนวนมากวิ่งผ่านหน้าข้าฯ ไป มันมีจำนวนมากเสียจนผิวสีดำของมันทำให้รอบข้างของข้าฯ มีแต่ความมืด ฝูงหมูที่ว่านั้นวิ่งผ่านไประลอกแล้วระลอกเล่า จนในที่สุดก็หมดลง หลงเหลือหมูไอบีเรียสีดำตนหนึ่งที่ยืนนิ่งจ้องมองข้าฯ

เอนริเก้ : ท่านแน่ใจว่านั่นไม่ใช่ความฝัน?

มานูเอล : ไม่ ข้าฯ ตื่นแล้ว คำถามของท่านข้อนี้น่าสนใจเพราะในตอนนั้นข้าฯ เองก็หยิกตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองตื่นแล้ว ข้าฯ ไม่ได้หลับ ทุกอย่างที่ปรากฏต่อหน้าข้าฯ นั้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน

เอนริเก้ : ท่านทำอย่างไรต่อไป?

มานูเอล : ข้าฯ จ้องตาเจ้าหมูตัวนั้น และก่อนที่ข้าฯ จะทำอะไร มันขยับตัวทำท่าส่งสัญญาณให้ข้าฯ เดินตามมันไป ข้าฯ ไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อดินแดนทัศนียภาพเปลี่ยนไปเช่นนั้น ข้าฯ จึงคิดว่ามันอาจต้องการพาข้าฯ ออกไปจากความสับสนนี้ ข้าฯ เดินตามมันไป แต่แทนที่ข้าฯ จะได้พบกับทางออกจากสถานที่แห่งนั้น เจ้าหมูกลับพาข้าฯ ลึกเข้าไปในป่า ข้าฯ เดินตามมันอย่างไม่ลดละ จับจ้องไปที่ขาหลังของมันจนในที่สุดแสงสว่างก็มาถึง ข้าฯ พ้นออกจากป่า เบื้องหน้าเป็นโรงจามอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา

ปิดม่าน จบองก์ที่ 2

 


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่