ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์
IP MAN 4 : THE FINALE
‘อวสานจตุรภาค’
กำกับการแสดง Wilson Yip
นำแสดง Donnie Yen Scott Adkins Danny Kwok-Kwan Chan Vanda Margraf
เผอิญได้ดูปรมาจารย์กังฟูชื่อยิปมัน ที่เล่นโดยดอนนี่ เยน ครบทุกภาค ตั้งแต่ภาคแรกเมื่อ ค.ศ.2005 ตามต่อมาอีกสองภาค (2010 และ 2015) จนมาลงเอยถึงภาคอวสาน (2019) กลายเป็นหนังจตุรภาค ที่ติดตามชีวิตของยิปมัน จากเมืองโฟชานในมณฑลกวางตุ้ง จนย้ายมาพำนักอย่างถาวรในฮ่องกง
เคยได้ดูหนังเกี่ยวกับชีวิตของปรมาจารย์คนเดียวกันนี้อีกเรื่องคือ The Grandmaster (2013) จากฝีมือกำกับฯ ของหว่องกาไว นำแสดงโดยเหลียงเฉาเหว่ย และจางซียี่ ซึ่งเป็นหนังที่งดงามละเมียดละไมด้วยศิลปะและปรัชญา จนไม่อยากเรียกว่าเป็นหนังบู๊ แต่แน่นอนว่าเป็นเรื่องของศิลปะการต่อสู้ หรือวรยุทธ์ (สมัยก่อนเรียกว่าวิทยายุทธ์) ของจีน
ที่จำได้แม่นเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นคือฉากต่อสู้ระหว่างพระเอกกับนางเอกที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ขณะกำลังมีรถไฟวิ่งผ่าน…สวยงามตรึงตราเหลือเกินเลยค่ะ
ยิปมันภาคแรกเป็นเรื่องของการฮึดสู้ต่ออำนาจเบื้องสูง
ยิปมัน (ดอนนี่ เยน ในวัยหนุ่มแน่นด้วยพละกำลัง) ฝึกกังฟูแบบวิงชุนให้แก่ชาวบ้าน เพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากการถูกกดขี่ของนายทาสและทหารญี่ปุ่นที่เข้ามายึดครองเมืองในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง รวมทั้งการหนีจากอำนาจบาตรใหญ่ไปสู่ฮ่องกง ซึ่งเป็นดินแดนที่มีเสรีมากกว่า
ยิปมันไม่เคยร่ำรวย แม้จะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย และหนึ่งในลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกคือ บรูซ ลี ที่เดินทางไปอยู่อเมริกา เปิดโรงเรียนสอนกังฟูแบบวิงชุน และเล่นหนังฮอลลีวู้ดจนกลายเป็นดาราใหญ่
ภาคสองภาคสามเป็นการสร้างชื่อเสียงของตัวเองในฮ่องกง โดยพิชิตนักสู้ฝีมือดีที่น่ากลัวระดับนานาชาติ ขณะเดียวกันยิปมันก็ต้องต่อสู้กับการคุกคามอีกด้าน จากโรคร้ายที่พรากภรรยาสุดที่รักของเขาไป
ทิ้งให้เขาเลี้ยงลูกชายคนเดียวแต่เพียงลำพังอย่างยากลำบาก โดยเปิดโรงเรียนสอนกังฟูแบบวิงชุนให้แก่คนทั่วไป และมีเด็กชายหน้าตาโอหังมาขอเรียนด้วย
โดยแนะนำตัวว่าชื่อบรูซ ลี
มาถึงตอนอวสานในภาคที่สี่นี้ หมอตรวจพบว่ายิปมันก็เป็นมะเร็งเหมือนกัน เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เขาจึงต้องตระเตรียมการและจัดการกับชีวิตของลูกชายวัยรุ่นที่หัวดื้อ ไม่เคยยอมฟัง และไม่ยอมพูดกับพ่อด้วยซ้ำ
โอกาสลอยมาถึงมือ เมื่อบรูซ ลี ลูกศิษย์ของเขาไปประสบความสำเร็จอยู่ในอเมริกา และเชิญเขาไปเยี่ยมพร้อมส่งตั๋วเครื่องบินมาให้
ยิปมันตัดสินใจเดินทางไป เพื่อหาลู่ทางและเตรียมหาโรงเรียนให้ลูกชายไปเรียน เพื่อจะได้มีอนาคตที่มั่นคง
แต่สิ่งที่เขาได้ประสบพบพานในซานฟรานซิสโกนั้น ทำให้รู้ว่าการเป็นคนจีนอยู่ในอเมริกาในช่วงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การเหยียดผิวและความเกลียดชังเหยียดหยามคนผิวเหลืองยังมีอยู่ทั่วไปและปรากฏให้เห็นอย่างออกนอกหน้าเสียด้วย
ขณะเดียวกัน คนเชื้อชาติเดียวกันก็ใช่ว่าจะต้อนรับเขาให้เข้ากลุ่มร่วมสมาคมด้วย
ยิปมันได้รับคำแนะนำว่า ถ้าจะเอาลูกไปสมัครโรงเรียน สิ่งแรกที่ต้องใช้คือ จดหมายรับรองจากสมาคมคนจีนโพ้นทะเล
เมื่อยิปมันเดินเข้าไปอย่างสง่างามแต่นอบน้อมด้วยสัมมาคารวะ เขาโดนปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย โดยมีหนังสือสอนกังฟูที่บรูซ ลี เขียนโยนใส่หน้า และถูกกล่าวหาว่าเขาเป็นคนทรยศต่อพวกพ้อง สอนลูกศิษย์ให้ไปสอนวิชาของบรรพบุรุษให้แก่คนต่างชาติต่างภาษา
ประธานสมาคมคนจีนในอเมริกาที่ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโกไม่ยอมเขียนหนังสือรับรองให้เขา
ซึ่งทำให้ยิปมันต้องหาทางอื่นเอง และเมื่อไปถึงโรงเรียน ก็ได้รับคำตอบว่า ถ้าไม่มีหนังสือรับรองจากสมาคม ผู้ปกครองก็ต้องบริจาคเงินอย่างน้อยหนึ่งหมื่นเหรียญ ถึงจะมีโอกาสให้โรงเรียนพิจารณารับ
เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า ประเทศอเมริกาก็มีธรรมเนียมการเรียก “แป๊ะเจี๊ยะ” หรือเงินกินเปล่า จากผู้ปกครองก่อนฝากลูก-หลานเข้าโรงเรียนดังๆ เหมือนกัน
ยิปมันไม่มีทางหาเงินขนาดนั้นมาจ่ายเป็นค่าสมัครเรียนให้ลูกได้ เลยได้แต่เดินออกจากโรงเรียนไปอย่างสงบ
แต่ บิงโก! เขาไปจุดไต้ตำตอเข้าเลย เนื่องจากเดินไปเจอเด็กผู้หญิงจีนวัยรุ่น กำลังถูกรุมจากอันธพาลในโรงเรียน
ปรากฏว่า วัน โยนาห์ (แวนดา มาร์กราฟ) เด็กสาวชาวจีนที่กำลังถูกรังแกอยู่ เผอิญเป็นลูกสาวของวันซงหัว นายกสมาคมคนจีนฯ พอดิบพอดี
เรื่องของการถูกรังแกในโรงเรียนก็มาจากการรังเกียจเหยียดผิวและความริษยาตาร้อนของเด็กสาวผิวขาวที่ไม่ได้รับตำแหน่งหัวหน้าเชียร์ลีดเดอร์ เพราะต้องมาแพ้แก่คนผิวเหลืองที่พวกเขาดูแคลน
และความช่วยเหลือจากยิปมันทำให้โยนาห์นับถือและสนิทสนมกับยิปมัน ซึ่งจะเป็นบันไดไปสู่การได้รับหนังสือรับรองจากพ่อของเธอ โดยที่ยิปมันไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณแต่ประการใด
การเหยียดผิว โดยเฉพาะความชิงชังรังเกียจของคนผิวขาวต่อคนผิวเหลือง เป็นแก่นเรื่องที่เด่นชัด…ชัดเกินไปด้วยซ้ำ ทำกันแบบหน้าไม่อาย ทั้งกลั่นแกล้งใส่ร้ายและหาเรื่องจนชวนให้โกรธแค้นตอบ
ทำให้รู้สึกว่านี่อาจเป็นผลจากนโยบายของประธานาธิบดีอเมริกาคนปัจจุบัน ที่กีดกันคนต่างผิวต่างเผ่าพันธุ์ กลับมาสู่ยุคของ “ความเหนือกว่าของคนผิวขาว” อีกครั้ง
พล็อตออกจะสุดโต่งและเร้าอารมณ์ไปมากสำหรับประเด็นที่ละเอียดอ่อน แต่หนังก็มีฉากต่อสู้ที่สวยงามให้ดูตั้งเจ็ดแปดฉาก และจากฝีมือของหยวนวูปิง ปรมาจารย์ออกแบบวรยุทธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเสียด้วย (Crouching Tiger Hidden Dragon, The Grandmaster)
ไม่ว่าจะเป็นการต่อกรระหว่างยิปมันกับปรมาจารย์กังฟูในซานฟรานซิสโก โดยเฉพาะกับวันซงหัว นายกสมาคมคนจีนฯ การต่อสู้ในตรอกระหว่างบรูซ ลี กับอันธพาลตัวโต การต่อสู้บนสังเวียนสาธิตกลางย่านคนจีน การต่อสู้ระหว่างบาร์ตันกับวันซงหัว การต่อกรขั้นสุดท้ายระหว่างยิปมันกับบาร์ตัน ฯลฯ
ผู้ร้ายตัวเอ้ในเรื่องคือ บาร์ตัน (สกอตต์ แอดคินส์) ผู้อยู่ในกองทัพอเมริกัน และเหยียดหยามคนผิวเหลืองอย่างเหลือเกิน โดยไม่ยอมให้ทหารในกองทัพได้มีโอกาสฝึกกังฟู เพราะเป็นวิทยายุทธ์ของคนผิวเหลือง
แต่สิ่งที่ขัดความรู้สึกอย่างมากสำหรับตัวละครตัวนี้คือ เขาเป็นนักคาราเต้ฝีมือดี ที่สงสัยตงิดๆ ก็คือ คาราเต้มีต้นกำเนิดจากคนผิวเหลืองเหมือนกันนี่นา หรือจะเป็นเพราะญี่ปุ่นเป็นศัตรูกับจีน คนผิวขาวอย่างบาร์ตันเลยถือว่า ศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน ตรงนี้ยังงงๆ อยู่กับตรรกะของเขาค่ะ
ที่แน่นอนคือว่า หนังเรื่องนี้ทำให้เลือดรักชาติของคนจีนพุ่งกระฉูดค่ะ
โดยเฉพาะตอนจบที่เป็นการปลูกฝังให้ภูมิใจกับศิลปะการต่อสู้ประจำชาติของตัวเอง มากกว่าการเห่อฝรั่ง…
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่