“สแตนลีย์ โฮ”เจ้าพ่อกาสิโนพลิกโฉมมาเก๊า กำเงิน 10 ดอลลาร์ ก่อนเป็นเศรษฐีเงินล้านก่อนอายุ 20

(Photo by SAMANTHA SIN / AFP)

สแตนลีย์ โฮ เจ้าของอาณาจักรธุรกิจกาสิโนบนเกาะมาเก๊า เรียกได้ว่าเป็น “บิดา” ผู้ให้กำเนิดธุรกิจการพนันยุคใหม่ของจีน 

ชีวิตของโฮ ที่ขึ้น-ลงราวกับรถไฟ เหาะลูกเศรษฐีฮ่องกง กลายเป็นผู้ลี้ภัย ก่อนก้าวไปสู่บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดบนเกาะมาเก๊า (โดยเสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ด้วยอายุ 98 ปี)

โฮเป็นลูกครึ่งจีนและมีบรรพบุรุษจากแถบยุโรป มีลูกทั้งหมด 17 คนกับผู้หญิง 4 คน

นอกจากธุรกิจกาสิโนแล้ว โฮผู้ใช้ชีวิตหรูหราและชอบการเต้นรำ ยังเป็นเจ้าของธุรกิจหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเรือเฟอร์รี่ เฮลิคอปเตอร์ เชื่อมเกาะฮ่องกงและมาเก๊าเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า โรงแรม สนามบิน รวมไปถึงสนามแข่งม้าด้วย

อย่างไรก็ตาม โฮเจ้าของธุรกิจกาสิโนเคยระบุเอาไว้ว่าตนหลีกเลี่ยงที่จะเล่นการพนัน

“ผมไม่เล่นพนันเลย ผมไม่มีความอดทนเพียงพอ” โฮระบุกับสำนักข่าวเอพี ในการให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2001 และว่า “อย่าหวังรวยจากการเล่นพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น”

 

เกิดวันที่ 25 พฤศจิกายนในปี 2464 ในครอบครัวโฮทัง หนึ่งในครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดครอบครัวหนึ่งในฮ่องกง

อย่างไรก็ตาม เมื่อโฮอายุได้ 13 ปี พ่อก็ทิ้งครอบครัวไปหลังจากต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะผลจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 30

โฮเรียนที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง แต่ก็ต้องหยุดเรียนเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2

โฮทำงานเป็นโอเปอเรเตอร์ทางโทรศัพท์ให้กับกองทัพอังกฤษในช่วงเวลาที่กองทัพญี่ปุ่นยึดครองฮ่องกงด้วยความเชี่ยวชาญภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ก่อนที่โฮจะลี้ภัยไปยังเกาะมาเก๊า อดีตท่าเรือประมงที่กลายเป็นเกาะที่พักพิงของผู้ลี้ภัยจากจีนแผ่นดินใหญ่

ในช่วงสงคราม โฮทำธุรกิจลักลอบค้าขายบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล ก่อนจะก้าวไปคว้าเอาสัมปทานธุรกิจกาสิโนระยะเวลา 40 ปีบนเกาะมาเก๊าได้

“มาเก๊าดีกับผมมากๆ ผมไปที่นั่นด้วยเงิน 10 ดอลลาร์ในกระเป๋า และกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านก่อนอายุ 20” โฮระบุ

 

ในปี 1948 โฮแต่งงานกับเคลเมนทินา เหลยเถา ลูกสาวทนายความชื่อดังในมาเก๊า ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกสและสังคมชั้นสูงบนเกาะมาเก๊า เส้นสายที่ช่วยให้โฮได้สัมปทานผูกขาดธุรกิจกาสิโนในปี 1962

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง โฮก็แต่งงานกับลูซินา ลัม เนื่องจากกฎหมายภายใต้ราชวงศ์ชิงในเวลานั้นเปิดทางให้ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน

โฮมีลูกกับภรรยาอีก 2 คนที่เหลืออย่าง “ไอนา ชาน” และ “แองเจลา เหลียง” โดยมีรายงานว่า โฮพบกับชาน พยาบาลในเวลาที่โฮจ้างให้มาดูแล “เหลยเถา” ที่กำลังป่วยหนักก่อนจะเสียชีวิตในปี 2004

ส่วนเหลียง ผู้ที่เป็นแดนเซอร์ และอดีตครูสอนเต้นรำ พบกับโฮได้เพราะความชื่นชอบการเต้นรำของโฮเอง

โปรตุเกสส่งมอบเกาะมาเก๊าคืนให้กับจีนในปี 1999 ก่อนที่สัมปทานผูกขาดธุรกิจกาสิโนของโฮจะสิ้นสุดลงในปี 2002 ส่งผลให้บริษัทกาสิโนคู่แข่งจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนมากขึ้น

นั่นส่งผลกระทบกับบริษัทเอสเจเอ็ม โฮลดิ้ง ของโฮแน่นอน ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดเอสเจเอ็ม โฮลดิ้ง ของโฮลดลงเหลือ 14 เปอร์เซ็นต์ในปี 2019 เทียบกับสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อ 10 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม โฮยังมีความร่ำรวยจากธุรกิจมากมายในมือ

 

โฮใช้ชีวิตอย่างร่ำรวย เคยเป็นข่าวใช้เงิน 8.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐซื้อรูปปั้นหัวม้าทองแดง ที่เคยถูกกองทัพฝรั่งเศสขโมยไปจากพระราชวังจีนเมื่อ 150 ปีก่อน เพื่อบริจาคงานศิลปะล้ำค่านั้นให้กับพิพิธภัณฑ์จีน

ในปี 2009 โฮเคยเข้ารับการผ่าตัดสมองหลังจากล้มในบ้านพัก และต้องใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 7 เดือน หลังจากนั้นก็ต้องนั่งบนรถวีลแชร์ และไม่ค่อยได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะเท่าไรนัก

โฮใช้ชีวิตอยู่กับภรรยา 3 คน ลูก 16 คน โดยโรเบิร์ตลูกคนโต เสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ที่โปรตุเกสตั้งแต่ปี 2524

ในปี 2554 เกิดดราม่าที่กลายเป็นการต่อสู้ทางกฎหมาย เมื่อโฮปฏิเสธที่จะมอบมรดกหุ้นให้กับลูกเพียง 5 คนและภรรยาอีก 1 คนตามกฎหมาย ซึ่งขัดกับความต้องการของโฮเองที่ต้องการแบ่งมรดกให้กับสมาชิกครอบครัวทุกๆ คนแบบเท่าๆ กัน

การต่อสู้ทางกฎหมายสิ้นสุดลงโดยโฮได้โอนหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทเอสเจเอ็มฯ ให้กับสมาชิกครอบครัวเกือบทั้งหมดตามที่ต้องการ แต่ยังคงนั่งเป็นประธานเอสเจเอ็ม จนกระทั่งเกษียณตัวเองออกมาด้วยวัย 96 ปี

โฮแม้จะเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ แต่ก็ระบุถึงความภาคภูมิใจที่ได้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงมาเก๊าจากเกาะที่เต็มไปด้วยผู้ลี้ภัยอันเซื่องซึม ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยแสงสีอย่างในปัจจุบัน

“ในเวลานั้นพวกโปรตุเกสบอกว่า สแตนลีย์ โฮ เป็นนักฝัน เวลานี้ผมได้เติมเต็มคำสัญญาของผมแล้ว” โฮระบุ