โล่เงิน | จากวางยาลูก-ลุงแท็กซี่ ดราม่า! รับบริจาค มุมมืดสังคมแห่ง “การให้” แปร “สงสาร” เป็น “เรียกทรัพย์”

นับเป็นหนึ่งในอุปนิสัยเด่นคนไทย ที่เห็นอกเห็นใจ แม้ตัวเองจะไม่มั่งมี แต่ยินดีช่วยเหลือแบ่งปันแก่ผู้ที่ด้อยโอกาส ตกทุกข์ได้ยาก

แต่ความน่าสงสารบนโลกออนไลน์ปัจจุบัน เริ่มน่ากลัวเมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือหากิน

ยกตัวอย่าง “ลุงแท็กซี่” วัย 72 ปี ที่ชาวเน็ตโพสต์ยากลำบากในชีวิต ก่อนเปิดบัญชีรับบริจาคเงินให้ จนมียอดกว่า 8 ล้านบาท แล้วมีกระแสข่าวตีกลับว่าลุงไม่ได้ลำบากยากไร้ตรงตามต้นเรื่อง

ครั้นวิกฤตโควิด ผู้คนชื่นชมการตั้งตู้ปันสุขแบ่งปันสิ่งของให้ได้กินใช้ทั่วถึงกัน แต่ภาพที่ออกมาคือการยื้อแย่งและกอบโกย

กลายเป็นว่า ความมีน้ำใจเป็นจุดอ่อนที่หันกลับมาทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของ “ผู้ให้” แทบขาดสะบั้น

ล่าสุดคดีสะเทือนใจ ตำรวจกองปราบปรามจับกุม น.ส.นิษฐา วงวาล หรือแม่ปุ๊ก ผู้ต้องหาที่มีส่วนเชื่อว่าทำให้ลูกน้อย 2 คน คือน้องอมยิ้มวัย 4 ขวบ และน้องอิ่มบุญวัย 2 ขวบ บาดเจ็บจากการใช้สารเคมีออกฤทธิ์กัดกร่อนทำลายร่างกายจนน้องอมยิ้มเสียชีวิตไป 1 ราย ส่วนน้องอิ่มบุญต้องพิการไปตลอดชีวิต

โดยแม่ปุ๊กอ้างว่าเด็กทั้งสองป่วยเป็นโรค “เรนินโนมาห์” โรคประหลาดซึ่งเกิดได้เพียง 1 ในล้านคน จึงขายสินค้า ขนม เสื้อผ้าเด็ก อุปกรณ์การแพทย์ หาเงินรักษาอาการป่วย สร้างเรื่องราวจนมีคนเห็นใจ ให้การช่วยเหลือล้นหลาม

คดีนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องการฉ้อโกง หลังจาก “แม่เอม” แม่แท้ๆ ของ “ด.ญ.อมยิ้ม” อายุ 4 ขวบ ไปแจ้งความตำรวจกองปราบฯ ว่าถูกแม่ปุ๊กหลอกขอเอกสารส่วนตัวไปใช้เปิดบัญชีธนาคารโดยอ้างว่าจะนำไปทำประกันชีวิตให้ลูก หลังได้รู้จักกันผ่านเฟซบุ๊กแล้วแม่เอมตกลงยกลูกให้แม่ปุ๊กซึ่งอ้างตัวเป็นเภสัชกรรับไปอุปการะตั้งแต่ปี 2558 จากโรงพยาบาลใน จ.นครสวรรค์ เนื่องจากความไม่พร้อมของตนเองตอนนั้น

แต่กลับกลายเป็นว่า เธอถูกผู้เสียหายแจ้งความว่ามีส่วนในการหลอกขายสินค้าออนไลน์แล้วไม่ได้รับของ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วแม่ปุ๊กนำบัญชีในชื่อแม่เอมไปใช้รับโอนเงินจากการขายสินค้าและเงินบริจาค

ยิ่งน่าสงสัยเมื่อตำรวจสืบสวนพบว่ายังมีบัญชีธนาคารอื่นที่เปิดในชื่อของ น.ส.เอมอีก 3 เล่ม และของตัวแม่ปุ๊กอีก 2 เล่ม ซึ่งมีเงินถ่ายโอนหมุนเวียนกันอยู่ 8,000 ครั้ง จากผู้บริจาคหรือซื้อสินค้ากว่า 3,000 ราย รวมยอดเกือบ 20 ล้านบาท ในระยะเวลาเปิดบัญชีขึ้นมาเพียง 2 ปีเศษ

ส่วนที่ 2 คือ คดีที่ทีมแพทย์ผู้รักษาเด็กทั้งสองจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รังสิต แจ้งความแม่ปุ๊กข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

ภายหลังพบว่าอาการเจ็บป่วยของเด็กๆ ไม่ได้เกิดจากโรคที่ น.ส.นิษฐาอ้าง แต่เป็นอาการของผู้ที่ได้รับสารพิษประเภทกัดกร่อนเข้าสู่ร่างกายด้วยการกิน ซึ่งจะออกฤทธิ์คล้ายกับผู้ป่วยที่ดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำ

ประกอบกับพฤติกรรมของ น.ส.นิษฐาเมื่อพาลูกที่ป่วยหนักมา แทนที่จะแสดงอาการห่วงใย กลับมัวแต่สนใจถ่ายภาพและคลิปเด็ก รวมถึงอาการป่วยของเด็กเมื่ออยู่ในมือหมอจะหายดีขึ้นอย่างเด่นชัด แต่เมื่อแม่ปุ๊กเข้ามาเยี่ยมกลับทรุด

พอปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดต่างเชื่อมโยงกัน!

ตํารวจกองกำกับการ 4 กองปราบปราม รวบรวมพยานหลักฐานนำกำลังจับกุมแม่ปุ๊ก ฐาน “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และฉ้อโกงประชาชน” ก่อนคุมตัวมาสอบสวน

ซึ่งเจ้าตัวรับสารภาพในคดีฉ้อโกงประชาชนเท่านั้น อ้างไม่ได้ทำร้ายลูกๆ

ก่อนที่ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. จะตั้งทีมสืบสวนสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาหลังมีกระแสข่าวขึ้นมาว่ายังมีเด็กๆ คนอื่นที่ถูกแม่ปุ๊กรับมาเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์จากการสร้างเรื่องราวความเจ็บป่วยอีกหรือไม่

การสืบสวนพบเส้นทางการเงิน น.ส.นิษฐาตั้งแต่ปี 2561-2563 มีหลักฐานการถอนเงินสดสำหรับค่าใช้จ่ายและค่าบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวันรวมกว่า 1 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินโอนเข้านับหมื่นรายการ และโอนออก 4,000-5,000 รายการ นอกจากนี้ยังมีสลิปการใช้เงินรวมยอดอีก 4 แสนบาท แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้นจะสอดคล้องกับค่ารักษาพยาบาลของเด็กทั้งสองคนหรือไม่ ยังเป็นประเด็นสำคัญ เพราะพบว่าเงินสดบางส่วนที่ถูกถอนมาก็ได้นำไปใช้เป็นค่ารักษาจริง แต่ก็มีบางส่วนที่ชำระไปโดยไม่ใช้เงินสดด้วย

พล.ต.ต.จิรภพบอกว่า ที่น่าสงสัยคือเงินในบัญชีผู้ต้องหา 2 ปีเศษ มีเงินหมุนเวียน 15 ล้าน แต่เมื่ออายัดพบว่ามีเพียงหลักร้อยบาท ต้องตรวจสอบว่าถูกยักย้ายถ่ายเทไปบัญชีใครบ้าง ทั้งนี้ ตัวผู้ต้องหาก็ให้การเหมือนคนปกติ มีสติสัมปชัญญะดี ไม่พบอาการคล้ายป่วยทางจิตตามที่มีข้อมูลว่าเคยเข้ารับรักษาอาการเครียด

พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. เผยว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอยืนยันว่าน้องอิ่มบุญเป็นลูก น.ส.นิษฐาจริงก็ไม่กังวล เพราะความผิดทางคดีพิจารณาจากผลกระทบที่เด็กได้รับกับการกระทำเป็นหลัก แต่เรื่องเกี่ยวกับการเงินยังต้องตรวจสอบสิทธิ์การทำประกันคุ้มครองตัวเด็กต่างๆ ว่า น.ส.นิษฐาทำประกันไว้ให้เด็กทั้ง 2 คนหรือไม่ ได้ประสานบริษัทประกันภัยต่างๆ ให้ช่วยตรวจสอบแล้ว

ด้าน พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ เกิดเอี่ยม รอง ผกก.4 บก.ป. กล่าวว่า การตรวจค้นที่บ้านพักแม่ปุ๊ก พบสารเคมีเป็นของเหลวต้องสงสัยบางอย่างซึ่งกำลังส่งตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสารออกฤทธิ์ตรงกับที่แพทย์ให้ข้อมูลอาการเด็กหรือไม่ มีร่องรอยการสัมผัสวัตถุจากใครบ้าง ยืนยันว่าตำรวจมีหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่าแม่ปุ๊กกระทำผิดจริง หากมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่ามีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องก็จะต้องถูกดำเนินคดีด้วย

เรื่องราวแสนโหดร้ายนี้ สะเทือนใจคนติดตามข่าวยิ่งนัก

อาจพลิกโฉมสังคมแห่งการให้ในใจคนไทยว่า ต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อน


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่