ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | หกปี คสช. การเมืองยุคเปลี่ยนสู่อวสานระบอบประยุทธ์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

โซเชียลมีเดียเป็นสนามรบทางความคิดที่เปลี่ยนวัฒนธรรมและความเชื่อของคนมหาศาล สังคมรุกไล่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอดีตจนรัฐเป็นจำเลยที่ไม่มีใครปกป้อง

ปรากฏการณ์ “ตาสว่าง” เป็นเรื่องปกติของคนรุ่นใหม่

ส่วนรัฐกลายเป็นสัญลักษณ์ของไอ้โง่ที่ได้แต่โฆษณาชวนเชื่อและโกหกพกลม

ขณะที่ไลน์เป็นที่รวมของการสวัสดีวันจันทร์ก่อนส่งต่อข้อมูลเท็จจากไอโอรัฐบาลให้คนอายุ 60 ขึ้นไป ทวิตเตอร์กลายเป็นสมรภูมิของความคิดใหม่ๆ ที่คนทุกรุ่นเขย่าความเชื่อเก่าๆ ถึงขั้นรัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงทวิตเตอร์จนคนออกจากทวิตเตอร์ไปใช้แอพพลิเคชั่น Minds เลยทีเดียว

ปรากฏการณ์ที่รัฐแทรกแซงทวิตเตอร์คือ “อาการ” ที่รัฐตระหนักว่าโซเชียลมีเดียกำลังเป็นฐานที่มั่นของข้อมูลข่าวสารและความคิดที่รัฐคุมไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ

หรืออีกนัยหนึ่งคือรัฐกำลังตระหนกว่าฐานที่มั่นทางอุดมการณ์ของความคิดและสถาบันต่างๆ ผุกร่อนลงในอัตราเร่งที่รวดเร็ว

ปี2563 เป็นปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกใช้กระบอกปืนจี้ประชาชนจนประเทศหายนะครบหกปี

แต่ขณะที่การรัฐประหารของ พล.อ.สุนทรในปี 2534 และ พล.อ.สนธิในปี 2549 ทำไปเพื่อปล้นอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งล้วนๆ รัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์กลับเป็นรัฐประหารทางอุดมการณ์

ในสังคมไทยนั้น คำว่า “อุดมการณ์” มีความหมายที่ดี คนที่ทำเพื่อส่วนรวมมักถูกยกย่องว่าเป็นคนที่ “มีอุดมการณ์” แบบใดแบบหนึ่งเสมอ แต่ที่จริงอุดมการณ์มีความหมายทั้งบวกและลบ ตัวอย่างเช่น อุดมการณ์ชาตินิยมทำให้คนเป็นได้ทั้ง “คลั่งชาติ” หรือเสียสละเพื่อชาติจริงๆ

เพื่อไม่ให้กองเชียร์ประยุทธ์อวยตัวเอง คำว่ารัฐประหาร คสช.เป็น “รัฐประหารทางอุดมการณ์” หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ประเคนตำแหน่งรัฐมนตรีให้ตัวเองและพวกเหมือนรัฐประหารเลวๆ ทุกกรณี

แต่ที่มากไปกว่านั้นคือการรื้อฟื้นอุดมการณ์บางอย่างตั้งแต่วินาทีที่ได้อำนาจรัฐด้วยกระบอกปืน

ทุกคนคงจำได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์และกองทัพยุค คสช.ทำเรื่องเขลาตั้งแต่แต่งเพลงห่วยๆ, ทำมิวสิกวิดีโอสะเหร่อๆ, ผลาญเงินให้ผู้กำกับหนังทำหนังสั้นง่อยๆ, ยัดเยียดแบบเรียนให้เด็กๆ รวมทั้งส่งทหารไปร้องเพลงตามที่ต่างๆ เพื่อปลูกฝัง “ค่านิยม” บางอย่างซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์และพวกคิดว่าดี

คงไม่มีใครสนใจแล้วว่าตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ใช้ภาษีประชาชนไปทำเพลงและคลิปโฆษณาชวนเชื่อค่านิยม พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร

เพราะค่านิยมทั้งหมดที่คุณประยุทธ์พูดและยัดเยียดให้คนฟังในปี 2557 พังพินาศจนไม่มีใครสังเกตเห็นในทันทีที่งบทำเพลงและประชาสัมพันธ์ห่วยๆ เหือดแห้งลง

พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่คนที่มีวิสัยทัศน์ทั้งในฐานะผู้นำและในฐานะบุคคล “อุดมการณ์” หรือ “ค่านิยม” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้เงินคนไทยไปล้างสมองจึงเป็น “ค่านิยม” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ถูกคนอื่นยัดเยียดมาทั้งสิ้น มรณกรรมของอุดมการณ์ไม่ได้เกิดจาก พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพราะอุดมการณ์ไปต่อไม่ได้อีกเลย

พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจโดยใช้กระบอกปืนจ่อปลายกระเดือกทุกคน และต่อให้จะแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนทุกคนอย่างไร “อุดมการณ์” ที่ พล.อ.ประยุทธ์เกาะอย่างชาติหรือประเพณีต่างๆ ก็อ่อนแอจนไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวแทนของความเป็นชาติได้เลย

ทั้งที่อยู่ในอำนาจนานถึงหกปี พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่สามารถทำให้คนในชาติเห็นเป็นตัวแทนของทุกคนได้สำเร็จ สถานะนายกฯ นำไปสู่คำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวแทนคนกลุ่มไหน และคำตอบที่ประชาชนมีในใจยิ่งตอกย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ของประชาชาติไทย

ระบอบเผด็จการไม่มีความชอบธรรมที่ได้จากการยอมรับของประชาชน ผู้นำในระบอบเผด็จการจึงต้องทำตัวเป็นกาฝากคอยเกาะความชอบธรรมจากชาติ, จากประเพณี, จากความสามารถ หรือจากวิกฤตบางอย่าง ซึ่งทั้งหมดไม่มีอะไรที่แข็งแกร่งพอจะให้ พล.อ.ประยุทธ์เกาะกินได้แม้แต่นิดเดียว

พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะเก่งกว่าทุกคน ความสามารถและการนำประเทศฝ่าวิกฤตเป็นคุณสมบัติที่คนไทยไม่คาดหวังในตัว พล.อ.ประยุทธ์อยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์เกาะชาติและประเพณีเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งนายกฯ แต่แม้แต่ “ชาติ” หรือ “ประเพณี” ก็ไม่อาจคุ้มหัว พล.อ.ประยุทธ์ได้เลย

ต้องใช้เวลาอธิบายอีกเยอะว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์เกาะใบบุญของ “ชาติ” และ “ประเพณี” ไม่ได้ต่อไป แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ในปีที่หกแทบไม่มี “หน้าตักด้านความชอบธรรม” อะไรหลงเหลืออีก

อำนาจกลายเป็นเครื่องมือเดียวในการจรรโลงอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ในปัจจุบัน

คสช.สร้างรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเปลี่ยนอำนาจจากกระบอกปืนเป็นกติกาปกครองประเทศ

แต่ในเมื่อความชอบธรรมซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เคยเกาะกินกลับแห้งเหือดไป รัฐธรรมนูญที่แปลงกระบอกปืนเป็นกฎหมายก็หมดความน่าเชื่อถือไปด้วย เช่นเดียวกับสถาบันต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ

ท่ามกลางความไม่ชอบธรรมทางการเมืองที่มลทินแห่งรัฐประหาร

คสช.เปรียบเสมือนตราบาปที่ประทับกลางหน้าผาก พล.อ.ประยุทธ์ไปตลอดชีวิต

นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องมีฐานของความชอบธรรมที่แข็งกล้าพอจะชดเชยกับความไม่ชอบธรรมที่ไม่มีวันลบเลือนได้

แต่ตอนนี้กลับไม่มีเลย

รัฐบาลประยุทธ์เกิดจากการแบ่งปันอำนาจระหว่างขาใหญ่ คสช.กับพรรคการเมือง แต่รัฐมนตรีจากทั้งสองฝั่งล้วนไม่มีใครเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรมและความสามารถ

กลุ่ม 3 ป.ถูกประชาชนมองว่าไร้คุณสมบัติสองข้อมานานแล้ว

ส่วนพรรคการเมืองก็ไม่แสดงให้เห็นว่ามีความสามารถแต่อย่างใด

รัฐบาลที่ดีในอดีตมักมีรัฐมนตรีหลายคนที่ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา ตัวอย่างเช่น รัฐบาลชวนมีคุณศุภชัย-คุณสุรินทร์-คุณบุญชู หรือรัฐบาล ดร.ทักษิณ มีคุณจาตุรนต์-คุณสมคิด-อาจารย์โภคิณ-คุณพงศ์เทพ

ขณะที่ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนในรัฐบาลนี้ที่สร้างตัวเองให้เป็นที่ชื่นชอบและศรัทธาได้เลย

วิธีบริหารแบบเผด็จการทหารทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งรัฐบาลซึ่งรัฐมนตรีทุกคนถูกเหยียบให้อยู่ใต้ พล.อ.ประยุทธ์ตลอดเวลา รัฐมนตรีไม่กล้าทำงาน และถึงกล้า ก็ต้องไม่ล้ำเส้นจนนายกฯ โกรธเพราะรู้สึกว่า “เสียหน้า”

รัฐบาลจึงเหมือนทีมฟุตบอลที่แผนการเล่นนำโดยผู้เล่นที่อ่อนที่สุดตลอดเวลา

ทหารผลักดันทุกวิถีทางให้พรรคพลังประชารัฐเกิดและได้ ส.ส.มากพอจะเพิ่มความชอบธรรมให้ พล.อ.ประยุทธ์ แต่หนึ่งปีของพลังประชารัฐเผยให้เห็นธาตุแท้ว่าพรรคคือที่รวมของการเมืองน้ำเน่า, การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย, แย่งเก้าอี้รัฐมนตรี ฯลฯ

ซึ่งไม่เคยมีพรรครัฐบาลไหนในอดีตเป็นแบบนี้เลย

ถึงตอนนี้ ไม่เพียงแต่พลังประชารัฐจะสร้างความชอบธรรมให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ องค์ประกอบของพรรคยังทำให้ความชอบธรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ถูกกัดกร่อนจนแทบไม่เหลืออะไรเลย

กองทัพไม่สามารถสร้างความชอบธรรมทางอุดมการณ์ แต่กองทัพก็มีกำลังพลและอาวุธซึ่งข่มขู่ไม่ให้ใครวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ได้ ทว่าสิ่งที่กองทัพทำในรอบหลายปีทำให้ความเกรงใจที่ประชาชนมีต่อกองทัพแทบหมดสิ้น ไม่ว่าจะเพราะงบฯ ซื้ออาวุธที่สูงเกินความจำเป็นหรือเพราะอะไรก็ตาม

ถ้ารัฐประหารปี 2549 คือจุดสูงสุดของการสร้างภาพว่ากองทัพเป็นวีรบุรุษ บทบาทของกองทัพหลังจากนั้นก็กัดเซาะภาพลักษณ์นั้นมาต่อเนื่อง กองทัพยิงประชาชนตายปี 2553 กว่า 100 ศพ, รัฐมนตรีทหารยุค คสช.ไม่มีผลงาน, วุฒิสมาชิกนายพลขาดประชุม ฯลฯ จนไม่เหลือความน่าเชื่อถืออีกเลย

พล.อ.ประยุทธ์มักโจมตีวุฒิสมาชิกจากการเลือกตั้งว่าไม่ได้ความ แต่วุฒิสมาชิกที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งกลับทำให้เกิดวุฒิสภาที่ไม่ได้เรื่องที่สุด

การแต่งตั้งเครือญาติและพวกพ้องเกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับการลงมติตามใบสั่ง โดดประชุม หรือแม้แต่การรับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมือง

ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์มักโจมตีพรรคการเมืองว่าต้องการสร้าง “ระบอบ” แต่ที่จริง พล.อ.ประยุทธ์คือผู้มีอำนาจคนเดียวในรอบห้าสิบปีที่ยึดอำนาจแล้วเขียนรัฐธรรมนูญให้ตัวเองมีอำนาจจนใกล้เคียงกับการสร้าง “ระบอบ” อย่างไม่มีอดีตนายกฯ คนไหนและพรรคอะไรเคยทำมาก่อนเลย

“ระบอบประยุทธ์” ทำทุกอย่างเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจไปตลอดกาล

แต่สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เข้าใจก็คือ ทุกระบอบต้องมีฐานที่มาของความชอบธรรม

ขณะที่หกปีของ “ระบอบประยุทธ์” คือหกปีที่ความชอบธรรมทางอุดมการณ์และสถาบันการเมืองอื่นๆ อ่อนแอแทบจะหมดสิ้นลง

ไม่ว่าจะเป็นการแย่งอำนาจภายในพรรคพลังประชารัฐ

หรือการ “กัดกันเอง” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

องค์ประกอบต่างๆ ภายใน “ระบอบประยุทธ์” กำลังแสดงอาการของการตระหนักว่าวันเวลาของระบอบนี้ใกล้หมดสิ้น ถึงแม้จุดจบและฉากจบของระบอบนี้เป็นเรื่องที่ยังประเมินไม่ได้ก็ตาม

ระบอบประยุทธ์มีศูนย์กลางอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และความเป็น พล.อ.ประยุทธ์คือจุดอ่อนที่สุดที่ทำให้ระบอบประยุทธ์ใกล้ถึงวันอวสานอย่างที่ทุกคนเห็นอยู่ในปัจจุบัน