ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563 |
---|---|
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร
ปัจจุบัน ล้วนเนื่องแต่อดีต (46)
คําพูดของเหมยฉางซูส่งผลให้เซี่ยตงเกิดอาการแข็งค้างตลอดร่าง ขนตางอนงามสั่นไหวรุนแรง ไม่เพียงเพราะตกใจว่าทำไมเหมยฉางซูถึงล่วงรู้ถึงคดี “กบฏฉีหวัง” หากที่สำคัญเพราะว่าเป็นเรื่องอันเกี่ยวพันกับคนนับพันนับหมื่น
ด้วยอิทธิพลกว้างขวางของพรรคบูรพานที แค่มีใจสืบเสาะย่อมค้นหาได้ไม่ยาก แต่ที่ทำให้แตกตื่นคือความรู้สึกเมื่อตัวเองได้ยินคำพูดประโยคนี้
เป็นกระแสธารารมณ์ที่ไหลบ่าท่วมทะลักกลางใจสุดที่จะควบคุม
เหตุเพราะเซี่ยตงยังคงเป็น 1 ในหญิงหม้ายผู้ตรอมตรมโกรธแค้นจำนวนนับพันนับหมื่นอันตกทอดมาจากเหตุการณ์หฤโหดครั้งนั้น
ที่ดีก็เพราะนางคือเซี่ยตง ภาระหน้าที่ของทูตส่องอธรรมและปณิธานกล้าแกร่งช่วยประคับประคองให้ยืนหยัดต่อสู้กับความทุกข์โศกที่ต้องสูญเสียสามี ที่แย่ก็เพราะนางคือเซี่ยตง ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนเพราะความเข้มแข็งของนางทำให้ทุกคนละเลยเพิกเฉย
กระทั่งวันหนึ่งจู่ๆ นางก็พบว่ามีเส้นผมสีขาวปรากฏขึ้น ยามเมื่อดวงตาทอประกายเย็นเยียบถึงตื่นตระหนกว่าในใจนางยังสะสมไว้ด้วยความโกรธแค้นและเศร้าอาดูร
อาจบางทีมีเพียงหนีหวงจวิ้นจู่ที่พอเข้าใจจิตใจของเซี่ยตง
ตามความเห็นของ “ไห่เยี่ยน” เหมยฉางซูเข้าใจดี หากมีใครบนโลกนี้กล้าคิดร้ายกับหนีหวง คนที่จะลุกมาปกป้องเป็นคนแรกคือเซี่ยตง
แม้จะเคยลั่นคำ “เจ้าไม่ออกเรือนวันหนึ่งก็ยังไม่ใช่สหายข้าวันหนึ่ง”
กระนั้น หนีหวงจวิ้นจู่จะออกหรือไม่ออกเรือนก็ตาม หนีหวงจวิ้นจู่ยังคงเป็นคนของตระกูลหลินตามพันธสัญญาในเยาว์วัยหรือไม่ก็ตาม
ก็ยังคงเป็นสหายใกล้ชิดที่สุดของเซี่ยตงอยู่ดี
เนื่องจากมิตรภาพที่สร้างขึ้นในสนามรบเป็นมิตรภาพอันผันแปรยากที่สุด ดังนั้น หลังเงียบไปครู่ใหญ่เซี่ยตงพยายามควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่านค่อยถามด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“ท่านซู ท่านมานครจินหลิงที่แท้เพื่ออะไร”
“อย่างไร ใต้เท้าทูตส่องอธรรมหรือแค่นี้ก็สืบเสาะไม่ได้” เหมือนจะตอบแต่กลับกลายเป็นคำถาม
“ข้าทราบเกี่ยวกับคำ ‘อัจฉริยะฉีหลิน’ และทราบว่าท่านมีปณิธานยิ่งใหญ่ ช้าเร็วต้องตัดสินใจเลือกนาย แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ต่อให้ท่านเข้าสู่วังวนการแย่งชิงอำนาจระหว่างรัชทายาทกับอวี้หวัง ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดต้องขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตจนแจ่มแจ้งปานนี้กระมัง”
เป็นทั้งความสงสัย เป็นทั้งความไม่เข้าใจ
เหมยฉางซูมิได้ใส่ใจต่อท่าทีแข็งกระด้างของนาง ยังคงยิ้มตอบ “เวลาทุกขณะปัจจุบันล้วนสืบเนื่องมาจากอดีต ไม่สำรวจให้ชัดแจ้งไหนเลยทราบว่าปัจจุบันควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ต่อให้เป็นอดีตที่ผ่านมานานแสนนาน ปลูกเมล็ดกรรมอันใดย่อมได้ผลกรรมอันนั้น
ทูตส่องอธรรมปฏิบัติงานด้วยเที่ยงธรรมมาตลอด ไยมิใช่ยึดถืออุดมการณ์นี้เช่นกัน”
ได้ยินดังนั้น แววตาเซี่ยตงดั่งเปลวเพลิง แผดเผาไปยังใบหน้าเหมยฉางซู “เรื่องในอดีตย่อมมีความหมายในตัวเอง ข้าแค่คิดไม่ตกว่ามันเกี่ยวข้องอันใดกับท่าน หรือคดีเก่าเมื่อ 12 ปีก่อนสามารถส่งผลกระทบต่อการแก่งแย่งอำนาจในราชสำนักของรัชทายาทและอวี้หวังในวันนี้”
เหมยฉางซูย้อนถามโดยฉับพลัน “ขอเพียงมีความเกี่ยวพันย่อมนำมาซึ่งผลกระทบไม่มากก็น้อย หรือใต้เท้าเซี่ยคิดว่าพวกเขาทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องในครั้งนั้น”
ทูตส่องอธรรมหญิงอึ้งไปชั่ววูบ
“ใช่ ข้ายอมรับว่าพวกเขาโหมกระพือคลื่นลมเร่งเร้าให้ฉีหวังจบชีวิตเร็วขึ้น แต่หากมิใช่เพราะฉีหวังมีจิตใจใฝ่สูง วางแผนก่อการกบฏ หากมิใช่กองทัพอัคคีแดงสนับสนุนคนชั่วกระทำเรื่องสกปรกต่ำช้า ไหนเลยมีผลกรรมตามสนองเยี่ยงนี้”
สีหน้าเหมยฉางซูยังคงเดิมแต่กรามขบแน่น ครึ่งค่อนวันค่อยกล่าว “ข้าคิดว่า นี่คงเป็นสาเหตุที่ท่านหลบหน้าจิ้งหวังมาตลอดกระมัง”
เซี่ยตงสีหน้าฉงน จ้องหน้าเหมยฉางซูแน่วนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ท่านเซี่ยปักใจเชื่อมาตลอดกับผลสรุปของราชสำนักเกี่ยวกับคดีกบฏฉีหวัง ส่วนจิ้งหวังกลับคอยแก้ต่างให้ฉีหวังไม่เลิกรา หากมิใช่เพราะองค์จักรพรรดิทรงพระเมตตา ทั้งทรงสืบทราบความจริงว่าเขาสับสนในความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับคดีกบฏ
ป่านนี้อาจถูกเกี่ยวโยงจนต้องรับโทษไปแล้ว”
เป็นความลับอันลึกยิ่งนัก เป็นความลับที่เหมยฉางซูรู้กระทั่ง “ถึงกระนั้นเขาก็ยังถูกกดข่มตำแหน่ง 10 กว่าปีที่สั่งสมผลการรบยังไม่อาจช่วงชิงบรรดาศักดิ์ชั้นชินหวังมาครองได้
ส่งผลให้รัชทายาทกับอวี้หวังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
พวกท่านทั้งสองมีทัศนคติตรงข้าม เมื่อพบหน้าหากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็แล้วไป แต่หากพลั้งปากขึ้นมาเป็นต้องเกิดปะทะรุนแรง ดังนั้น ไม่พบได้ก็เสี่ยงที่จะไม่พบ”
เหมยฉางซูจ้องลึกในดวงตาเซี่ยตง “แซ่ชูคาดเดาถูกต้องหรือไม่”