นายห้างไหทองคำ ในวันต้องลงจากเวที กลับสู่ธรรมชาติ เลี้ยงกบตัวละบาท

แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในบ้านเราจะดีขึ้น แต่กระนั้นก็เป็นที่รับรู้กัน “การ์ดต้องไม่ตก” ด้วยเหตุนี้เมื่อคุยกับประจักษ์ชัย ไหทองคำ ถึงสถานการณ์ของวงการเพลง เจ้าตัวก็บอกด้วยเสียงปลงๆ ว่า “คงต้องทำใจ”

เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้รับการปลดล็อกให้จัดแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งเป็นที่มาของรายได้หลักได้เมื่อไหร่

“ตอนนี้ผมจึงบอกให้ทุกคนอยู่กับความเป็นจริง ต้องจมให้ลงให้ได้ บอกทุกคน ไม่ใช่เฉพาะลำไย น้องนุ่งในวงการอินดี้ ให้อยู่กับธรรมชาติให้ได้ ต้องปลูกผัก ไม่ต้องปลูกขาย ปลูกกินนี่ละ ผมเองเลี้ยงกบแล้ว ไปซื้อมาตัวละบาท ซื้อเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้ามาเพาะ กินกับลูกน้อง ทีมงานเราก่อน แค่กิน แค่เซฟตัวเองก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่”

ขณะเดียวกันก็บอกไปยังญาติมิตรชิดใกล้ บางรายที่ลำบากถึงขั้นมาขอยืมสตางค์ว่า “เมื่อก่อนเรายืมกัน 3 พัน 5 พันได้”

แต่เดี๋ยวนี้ปัจจัยไม่เอื้อให้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว

เขายังบอกอีกว่า เพื่อความอยู่รอด ณ ตอนนี้เขาตัดสินใจขยายไลน์ธุรกิจของไหทองคำ จากเดิมที่ทำเฉพาะงานเพลง ให้เพิ่มในส่วนการขายอาหารทางออนไลน์โดยตั้งใจให้เป็นแหล่งรวมของดี 4 ภาค โดยว่าจ้างผู้ผลิตอาหารเจ้าอร่อยที่เขาทานแล้วชอบให้ทำส่ง ในชื่อ “ไหทองคำ ฟู้ด”

ซึ่งตอนนี้มีแล้วทั้งปลาส้มจากยโสธร หมูยอจากอุบลฯ ปลาร้าจากเขื่อนอุบลรัตน์ ฯลฯ

สำหรับคอนสิร์ตออนไลน์ที่หลายเจ้าเริ่มทำ เขาก็กำลังดูๆ อยู่ แต่รู้สึกว่าอาจไม่ใช่ทางถนัด

“มันต้องมีกระบวนการตัดต่อภาพ สวิตชิ่ง และอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งถ้าเราไม่เก่งตรงนั้น มันจะเหมือนไลฟ์สดธรรมดา แล้วผมว่ามันเหนื่อยนะ คือนักร้องต้องเก่ง ต้องบิวต์คนดูให้ได้ โดยต้องเล่นกับกล้อง นักร้องเราส่วนมากมีความสุขกับคนจับมือ คนเต้นหน้าเวที ถ้าทำแบบนั้นวันสองวันแรก โอเค อาจจะมีไฟ แต่แค่ 5 ครั้ง 6 ครั้ง ก็คงหมดมุข คนก็คงเวียนไปดูคนอื่น จึงคงไม่ได้ทำให้เราโด่งดังหรือว่าได้อะไรมากมาย”

ที่ตั้งไว้ว่าน่าจะพอทำได้ในช่วงนี้ จึงเป็นการรับงานออกรายการโทรทัศน์ รวมไปถึงการไลฟ์สดทางออนไลน์ที่มีลูกค้าติดต่อจ้างมาบ้างแล้ว

ส่วนงานเพลง แน่นอนว่าอยู่ระหว่างเตรียมการ โดยหลังสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น จนสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ เขาก็จะส่งนักร้องสาว ลำไย ไหทองคำ ไปประเทศเกาหลี เพื่อบันทึกเสียงเพลงใหม่ เพลงที่ลำไยจะแร็พโดยฟีเจอริ่งกับศิลปินเกาหลี

โปรเจ็กต์นี้ประจักษ์ชัยบอกว่า เป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่จะผลักดันลำไยให้ก้าวขึ้นเป็นนักร้องอินดี้ระดับเอเชีย

“ตั้งใจว่านอกจากมีฟีเจอริ่งกับนักร้องเกาหลี ต่อไปก็อาจจะมีกับนักร้องพม่า ญี่ปุ่น เวียดนาม และลาว เพื่อไปจับตลาดอีกตลาดหนึ่ง ถ้าตลาดในไทยเริ่มตัน พูดง่ายๆ คือศิลปินอินดี้ตอนนี้ก็แข่งขันเยอะ แล้วสิ่งที่ลำไยได้เปรียบคือความเป็นซูเปอร์สตาร์ ความเป็นมูฟเมนต์ คือภาษาเพลงฟังกันไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่ภาษากายสื่อได้โดยท่าเต้น เราเลยคิดว่าสิ่งที่เป็นจุดแข็งของลำไยคือสรีระ หุ่น และความสามารถทางการเต้น จึงน่าจะทำเพลงกับต่างประเทศ น่าจะก้าวได้ก่อนคนอื่น”

อย่างไรก็ดี นายห้างคนดังบอกชัดว่า การบุกตลาดต่างประเทศนี้ไม่ได้คาดหวังถึงขั้นว่าจะเป็นการได้ไปออกอัลบั้มกับศิลปินต่างชาติ หรือได้ไปเข้าสังกัดนักร้องในต่างแดน

“ฐานหลักของเราคือเมืองไทย แต่เป็นการต่อยอดโปรไฟล์ให้เราเป็นอินเตอร์ ดูเป็นอินดี้ พรีเมียมมากขึ้น”

“คือตลาดไทยเราก็พอสมควรแล้ว 3 ปี 4 ปี แล้ว คิดว่าน่าจะขยับไปอีกโซนหนึ่ง และที่มองเกาหลีก่อน เพราะเกาหลีมีคนไทยเกือบ 3 แสน เราไปที่นั่น 4-5 ครั้ง เราเห็นตลาดที่เกาหลี และถ้าไปหลอมความเป็น 2 ชาติเข้าด้วยกัน ทางนั้นเขาอาจจะเปิดใจให้ศิลปินไทยไปในเทศกาลเพลงต่างๆ ที่เขาจัด หรืองานเฟสติวัลที่มีศิลปินดังๆ ไปรวมตัวกัน ก่อนหน้านี้ที่โอซาก้า ญี่ปุ่น เราก็ได้รับการชวนไป แต่เราติดคิวเลยไม่ได้ไป แต่ทำแบบนี้ก็เผื่อได้ขยับ ได้ไปในเทศกาลประเทศอื่นๆ”

แล้วก็ได้กลายเป็นอินดี้ พรีเมียม เป็นนักร้องที่ถูกพูดถึงในระดับเอเชียอย่างที่หวังไว้


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่