ทวีปที่สาบสูญ : …ชุ่มฉ่ำนั้น โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

หล่อนหลับไปแล้ว แต่ฉันยังสมองตื่นอยู่ หงายหน้ามองฝ้าเพดาน ในท่ามแสงสลัวรางเมื่อโคมไฟหัวเตียงดับลง ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะแผ่วเบา แต่ราวอวลกลิ่นน้ำตาของหล่อนยังอยู่

หล่อนไม่ได้แตะต้องตัวฉันมากไปกว่าการลูบมือแผ่วเบา ปัดผมเหนือหน้าผาก แต่หล่อนดูเวทนาฉันมาก นับจากหยดน้ำที่ร่วงลงอีกไม่ขาดสาย

ปากฉันเล่านิทานให้หล่อนฟัง แต่หล่อนหารู้ไม่ว่า ใต้เปลือกตาที่ปิดพับ ฉันกำลังรวบรวมภาพที่กระจัดกระจายของหล่อนกับฉัน…ต่างหาก

งูตัวนั้น ที่ปลายหางเรียวแหลมของมันสั่นระริกอยู่ กับขนดที่พยายามอ้อมพันหล่อนไว้ เมื่อฉันกลายเป็นสัตว์เลื้อยคลานจากหลุมโพรงภายในจิตใจ

หล่อนคงไม่เฉลียวใจหรอก

……

……

หล่อนมาจากบ้านแบบไหนกันนะ ในการปะติดปะต่อของตัวฉันเอง หล่อนคงมีชีวิตแบบคุณหนูผู้ดี มีเงินทองร่ำรวย หล่อนอายุห่างฉันสักกี่ปี…คงจะหลายปี ตัวหล่อนสูงสง่า แขนขาผิวเนื้อนุ่มเนียน เส้นผม ปากคิ้วคอคาง ยิ่งพิศยิ่งเห็นในรายละเอียดน่าจับใจ

หล่อนมีไรขนบางๆ ข้างบนหยักปากนั่นด้วย แขนล่ะ ถ้าลูบมือดูไม่แน่ว่าจะสัมผัสปุยอุย คงระไล่ฝ่ามือน่าดาลใจ

ที่อื่นล่ะ…

ลมหายใจคล้ายจะร้อนขึ้น เตียงนอนไร้สุ้มเสียงการเคลื่อนไหว ฉันขยับปลายเท้าเข้าหากัน แต่นั่นยังไม่เพียงพอ

ฉันควรจะคิดถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย เรื่องทุกข์ เรื่องเศร้า เรื่องการพลัดพรากจากลา เรื่องที่พาฉันมาสู่ตรงนี้ยามนี้ เรื่องที่เคยทำให้แตกสลาย

แต่เหตุใด หมื่นพันเหล่านั้น แม้แต่นิทานของฉันที่ทำให้หล่อนยังต้องหลั่งน้ำตา ทว่า กลับไม่มีแม้สักเรื่องเดียวจะทำให้ฉันหลุดพ้นไปได้

ปลายนิ้วเท้ายังดั่งมีชีวิตของมันเอง

 

[ฉันไม่มีกระดาษสมุดและปากกาเลย

แต่คงต้องเขียนมันไว้ในอากาศอย่างเคย

ใจเอ๋ย

สิ่งที่กำลังกระโจนออกมาอย่างผ่าเผย

คือการเปลื้องเปลือยข้างใน

หล่อนยังคงหลับสนิท

ในนิทราจะฝันหวานไหม

หล่อนจะฝันถึงใคร

มองเห็นสิ่งใดในวิวทิวทัศน์

ฉันเริ่มอยากรู้

ฉันอยู่ข้างกายคนแปลกหน้า

ใจทั้งโลดถลาและรั้งอยู่

ในห้วงสำนึกระลึกครู่

แต่บางสิ่งก็เกรียวกรูดั่งฝนสาดซัด

ฉันพยายามแล้วนะ

ที่จะผลักไสและกำจัด

แต่ยิ่งถอยยิ่งร้อยรัด…

แทบต้องขบกัดริมปากไว้…]

 

หล่อนนอนอยู่ข้างตัวฉันนี่เอง ท่ามความมืดมิดที่ฉันเรียกมาสู่ดวงตาตัวเอง กล้ามเนื้อต้นขาสั่นระริก อยากพลิกตัวหันไปหาผนังเสีย แต่ใจไม่แข็งพอจะทำได้

เครื่องแอร์ยังดังหึ่งๆ ตลอดเวลา แต่เหมือนว่าฉันนอนบนกองไฟ

นิ้วเท้าสั่นไหวมากเท่าไหร่ ใจยิ่งเต้นแรงกว่า

 

หล่อนลืมตา มีความฉงนปรากฏขึ้นมาในวงแฉกสีน้ำตาลคู่นั้น

ยังไม่มีคำพูดอะไร ทั้งที่คำถามมากมายปรากฏ

ฉันทั้งอับอาย และขลาดกลัวไปหมดทุกอณูเนื้อใจ แต่สายเกินกว่าจะหยุดยั้ง ไม่สามารถรั้งสิ่งแตกผลิข้างใน

จนหล่อนขยับริมปาก

– ทำอะไรน่ะ

– มะ…ไม่ได้ทำอะไร

– ทำสิ พี่เห็นอยู่ – หล่อนยิ้ม

– ไม่…ได้ทำ…

– ก็ทำอยู่นั่น

ฉันเปิดตาจ้องหล่อนบ้าง และบอกผ่านทุกๆ ชั้นของการเคลื่อนไหว

– คุณคือผีเสื้อ

– อะไรนะ? – หล่อนถาม

– ขยับปีกอีกสิ – ฉันบอก

– ยังไง

– ยังงี้

ฉันมีเนื้อตัวร่างกายเหมือนหล่อน ถึงขนจะสั้นอ่อนกว่า ถึงนมจะเพิ่งตั้งเต้า และเราแค่เพิ่งพบกัน

หล่อนทำให้ฉันเหินลอยไปกับตัวฉัน และในห้วงยามเหล่านั้น ฉันแค่เอาใจแนบไว้กับแก้มเปื้อนน้ำตาของหล่อน

แล้วปล่อยความร้อนสุมเร้าแผ่นหลัง

 

“น้อง!”

ให้ตายเถอะ หล่อนลืมตาขึ้นมาจริงๆ และหนนี้ไม่ใช่ในจินตนาการที่ฉันปั้นแต่งอยู่ในความคิด เกือบจะชะงักงัน ฉันแทบสำลักลมหายใจ

หล่อนลุกขึ้นนั่ง เสยผมที่ยุ่งปรกหน้า

อ้าปากหาว

จากใจหายวาบ ฉันกลับเกือบโล่งใจขึ้น กล้ามเนื้อต้นขาคลายออก

“…ทะ ทำไมคะ”

“ทำไมยังไม่นอนอีก ไม่ง่วงหรือ” หล่อนถามออกมา “ได้ยินแต่พลิกไปพลิกมา”

เครื่องแอร์ยังทำงานเหมือนเก่า แต่มีเหงื่อในไรผมของฉัน

“…กำลังจะหลับแล้ว”

หล่อนลุกขึ้นจากเตียง

“พี่นอนดิ้นหรือเปล่า เลยทำให้นอนไม่หลับ”

“ปละ…เปล่าค่ะ”

หล่อนลุกไปเข้าห้องน้ำ ยินเสียงกดชักโครก ครู่เดียวก็ออกมา

ขาคู่เดิมยกขึ้นบนเตียง เอี้ยวตัวจัดหมอน แล้วทันใดก็รั้งเอาตัวฉันเข้าไปในวงแขน

“งั้นมานอนนะคะ”

แทบตั้งตัวไม่ทัน ฉันขืนตัวตามสัญชาตญาณ หากแขนคนตัวสูงยิ่งกระชับไว้

“พี่ง่วงมาก แต่ถ้าน้องยังไม่นอน เดี๋ยวไม่ได้นอนกันทั้งคู่”

 

มันเหมือน…เหมือนอะไรดี เหมือนการลงเล่นน้ำแต่ยังไปไม่ถึงไหน ถูกห่อหุ้มไว้หมดสิ้นแล้วด้วยเสื้อผ้าพันธนาการ…ใจฉันยังอยากแหวกว่าย อยากไปจนถึงใจกลางน้ำวนโพ้นนั่น จะสะบัดเท้าตีขาเหมือนปลาขาวโบกครีบหาง อยากจะได้อะไรสักอย่าง…สักอย่าง ที่เคยได้ลิ้มชิมมา

แต่คนแปลกหน้า ผู้ที่กำลังจะพาฉันไปเลี้ยงดูอุปการะ ก็เพียงหาวหวอดๆ อีกสองสามครั้ง ปากที่อิ่มเต็มของหล่อน ขนตาทาบแก้มเป็นเงา และกลิ่นหอมอ่อนๆ ฉาบผิว ทำให้ฉันโหยหิวขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้

หล่อนรัดวงแขนแน่นเข้าอีก

“อย่าดื้อสิ” คำพูดไพเราะกว่าใครๆ

“รีบนอน จะได้ไปเรียนหนังสือ”

ฉันคงแพ้หล่อนแล้วล่ะ คนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แผ่นหลังที่เคยทำให้ฉันใจหาย คิดว่าจะหายลับไปกับสายหมอกขาว…แต่แล้วหล่อนก็กลับมา

ฉันคงมีแต่ต้องยอมแพ้หล่อน เมื่ออ้อมกอดแห่งความปรานีเปิดให้ฉันเข้าไปซุกตัวอยู่

ตอนนี้…

…ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม ฉันจะหลับได้จริงๆ ใช่ไหม พรุ่งนี้ จะได้ไปกรุงเทพฯ กับหล่อนแล้ว

ช่างน่าแปลกที่ความคิดในหัวของฉันเริ่มสับสน ร้อยพันความคิดหลากไหลเข้ามา แต่ปลายนิ้วเท้าค่อยคลี่คลายช้าๆ และที่แปลบปลาบในซอกขาก็ทุเลาลง

ไม่นานนักฉันก็กลับมาเป็นปกติ

ยินเสียงหล่อนหายใจสม่ำเสมอแผ่วเบา
[…ถ้าฉันมีกระดาษและปากกา

ฉันจะเขียนถึงเวลาค่ำคืนนี้เอาไว้

แผ่วเบาของเสียงหายใจ

กับอกที่เต้นไหวของตัวฉัน

ถ้าฉันมีสมุดสักเล่มหนึ่ง

จะจดบันทึกถึงคืนวัน

วูบวาบกำซาบสั่น

เพียงฝันว่า…

ในฝัน…

ถ้าฉันมีกระดาษและปากกา

ฉันจะเขียนถึง

ลึกซึ้งชุ่มฉ่ำนั้น…]