จรัญ พงษ์จีน : ปรับทัพ “พปชร.-ครม.” ในห้วงขยาย พรก.ฉุกเฉิน

จรัญ พงษ์จีน

“จบไปแล้ว” กระแสข่าวล่าสุด “พรรคพลังประชารัฐ” เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในแบบสะเด็ดน้ำ “แน่นอน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ประธานยุทธศาสตร์พรรค จะสลับฟันปลานั่งเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค”

แทน “อุตตม สาวนายน” ที่จำใจต้องยอมถอย ลาออกจากตำแหน่งด้วยตัวเอง ทุกอย่างจะจบข่าว “บริบูรณ์” ภายในไม่กี่วัน หลังสถานการณ์ “โควิด-19” คลี่คลาย แต่คาดว่าจะก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน

จะมีการยื่นเรื่องต่อ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.” เพื่อจัดประชุมใหญ่เลือกคณะกรรมการบริหารพรรค “พปชร.ชุดใหม่”

ลงเอยตามข้อบังคับพรรค ที่ระบุว่า “หากหัวหน้าพรรคลาออกเองเพียงคนเดียว ทำให้กรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติ” จากลากันแบบชิวๆ ไม่ต้องประดาบฆ่ากันเลือดนอง เลือดสาด

ก้าวถัดไป จะยกระดับจาก “พรรค” สู่รัฐบาล ต่อจิ๊กซอว์ถึง “ปรับคณะรัฐมนตรี” หรือไม่ประการใด ก็เป็นเรื่องอนาคต ตามอัธยาศัย แล้วแต่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

ปัญหาใน “พปชร.” คุกรุ่น ร้อนระอุมาตั้งแต่เริ่มก่ออิฐสร้างพรรค หลายพ่อพันแม่ เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด มากันครบ จับขั้วกันแบบเฉพาะกิจ-เฉพาะกาล สารรูปเดียวกับพรรคสามัคคีธรรมของ “พี่น้องชาว จปร.5 หรือ 0143” ในอดีต

ไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์ตรงกัน เพื่อมารังสรรค์ประโยชน์ต่อประเทศชาติ พอเปิดตัวปุ๊บเลยสะเปะสะปะปุ๊บ เลือกตั้งแล้วเสร็จ ยังบริหารชัยชนะไม่เป็น มีความผิดพลาดให้เห็นอยู่ร่ำไป

“พปชร.” จึงประกอบด้วย “มุ้ง-ซุ้ม-แก๊ง-ก๊วน” หัวก่ายท้ายเกยอีนุงตุงนังไปหมด นับกันไม่หวาดไม่ไหว

ที่โดดเด่นพอจำแนกแยกย่อยถูก ได้แก่

1. “กลุ่มสี่กุมารทอง” ผู้ได้รับฉันทานุมัติให้เดินเครื่องก่อตั้งพรรคขั้นเริ่ม มี “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ

มีภาพ “เฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี เป็นแบ็กกราวด์ ยืนค้ำถ่อชักใยกดปุ่มอยู่เบื้องหลัง

2. “กลุ่มสามมิตร” มี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็น “คอหอยกับลูกกระเดือก” แล้ว วางตัวน้องรอง “เสี่ยแฮงค์-อนุชา นาคาศัย” คอยคอนเน็กชั่น ประสานสิบทิศ

3. “กลุ่ม กปปส.เก่า” ที่แยกตัวมาจากประชาธิปัตย์เสียส่วนใหญ่ นำทีมโดย “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “เสี่ยบี-พุทธพงษ์ ปุณณกันต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ “สกลธี ภัททิยกุล” ที่ไปแทรกตัวเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. โดยมี “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นคนเดินเกมในพรรค

4. “กลุ่มภาคเหนือ” ได้ร่มเงาของ “ผู้กองนัส-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีลูกทีมระดับ ส.ส.หลายคนทางภาคเหนือ ทั้งกลุ่มกำแพงเพชร

5. “กลุ่มภาคกลาง” หัสเดิมไม่ค่อยมีพลังมากเท่าไหร่ แต่ภายหลัง “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” ส.ส.ชลบุรี 2 สมัย ออกโรงเล่นงิ้ว หลังตัวเองตกขบวนรถเที่ยวตู่ 2/1 ทั้งๆ ที่มีชื่อติดโผนั่งแป้นรัฐมนตรีว่าการแรงงาน

มีผู้ใหญ่มาขอบิณฑบาต จนสงบสติอารมณ์ พร้อมได้รับตำแหน่งประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐปลอบขวัญ ตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของ “เสี่ยเฮ้ง” โดดเด่นขึ้นมาอยู่เบอร์ต้นๆ

6. “กลุ่มโคราช” มี “เสี่ยยักษ์-วิรัช รัตนเศรษฐ” เป็นพี่ใหญ่ มี ส.ส.ในสังกัดอันเป็นเครือญาติจากจังหวัดนครราชสีมาแล้ว ยังมีจังหวัดใกล้เคียงมาเสริมบารมีให้อีกเล็กน้อย จึงสามารถดันลูกชาย “อธิรัฐ รัตนเศรษฐ” นั่งแป้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แม้ผลงานไม่ปรากฏ ชื่อเสียงเงียบเหงา แต่ “พ่อ” ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว

7. “กลุ่มเพชรบูรณ์” ในอาณัติของ “สันติ พร้อมพัฒน์” มีลูกข่ายจากจังหวัดเดียวกันอยู่ในสังกัดสามสี่คน แต่มาไล่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านมีพลังไฮเพาเวอร์เพิ่ม โดยเฉพาะหลังจากโยนเบ็ดตกปลา บริจาคอาคารให้เป็นที่ทำการพรรค พปชร.แห่งใหม่ที่ถนนรัชดาฯ “ผู้ใหญ่” เลยให้ราคาว่า “ใจถึงพึ่งได้”

 

ก่อนหน้านี้ ช่วงวิกฤต “โควิด-19” แพร่ระบาด มีข่าวว่าลามมา “กินตับ พปชร.” วันที่ทำพิธีเปิดที่ทำการพรรคแห่งใหม่ มีขบวนการปากหอยปากปูมารุมฟ้อง “บิ๊กป้อม” ว่า กรรมการบริหารพรรคชุด “สี่กุมาร” ไม่ต่างอะไรกับ “ไม้ตีพริก” ไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาว สนใจลูกพรรคและชาวบ้านที่เดือดร้อนจาก “โควิด-19” ทั้งๆ ที่เป็นพรรคแกนนำ เสนอให้โละยกชุด ทั้ง “หัวหน้า-เลขาธิการพรรค”

โดนหว่านล้อมว่า ถึงเวลาที่ “ลุงป้อม” ต้องขึ้นกุมบังเหียนเองได้แล้ว จากนั้นข่าวแพร่สะพัดว่า “พล.อ.ประวิตร” รับนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค พปชร.

แต่มีการใช้มุขหนังไทย ติดน้ำเน่าเล็กน้อย ปล่อยข่าวว่า “สันติ พร้อมพัฒน์” จะมาเป็นเลขาธิการพรรค และนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องเลย “จบเห่”

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีควันต้องมีไฟ ข่าวทลายห้างกรรมการบริหารพรรค พปชร. มีกระแสมาเรื่อยๆ “ยกที่สอง” กลุ่มและมุ้งต่างๆ สะกิดสีข้างให้ลูกหาบในสังกัดไขก๊อกออกจากตำแหน่ง

เพื่อเปิดทางสะดวกให้ เกิดช่องว่างตามข้อบังคับพรรคที่ว่า กรรมการบริหารพรรคลาออกเกินครึ่ง จะสิ้นสภาพไปโดยอัตโนมัติ หัวหน้าพรรคต้อง “ลาออก”

ปรากฏว่ามีบางกลุ่มและบางมุ้งที่นัดหมายกันแล้ว กลับลำกลางอากาศ เป็นมรรคผลให้กรรมการบริหารพรรคจำนวน 34 คน รวบรวมรายชื่อที่ลาออกได้เพียง 12 คน

มี “สายภาคเหนือ” 4 คน กับ “สายอิสระ” 2 คนชักดาบ เลยทำให้ไม่เข้าเกณฑ์เกินครึ่ง คณะ “สี่กุมารทอง” เลยกลับมาผงาด

แต่ล่าสุด มีการขับเคลื่อนกันใหม่อีกรอบเป็นคำรบที่ 3 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า “เรียบโร้ย”

“กลุ่มที่ 2-7” ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคแห่นาคมาร่วมลงชื่อลาออกกันท่วมท้น จากเดิมแค่ 12 เสียง ยอดทะลุเป็น 24 เสียง มีการเช็กขุมกำลัง “สี่กุมารทอง” เหลือยอดอยู่ในกรรมการบริหารพรรคเพียง 3 พระหน่อ

ทั้งผลักทั้งดันให้ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” นั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรรค พปชร. ส่วนเลขาธิการพรรค กำลังเกลี่ยกันอยู่ แต่คาดว่าน่าจะมาจาก “กลุ่มสามมิตร” โดยต้องเป็น ส.ส.ไม่เขตเลือกตั้ง หรือบัญชีรายชื่อก็ได้

ประสานเสียงกันทุกกลุ่ม เข้าตำรา “หงส์ทองพึ่งสาคร ช้างพึ่งป่า ผึ้งพึ่งเกสร”

รู้แล้วยัง “ลุงป้อม” ฤทธิ์เดชสูงส่งขนาดไหน

เรี่ยวแรงไม่ได้เก็บไว้เป่าข้าวต้มตอนเช้าอย่างเดียวนะโว้ย