การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ยังอยากคบฉันอีกไหมคนดี

เพียงบัวที่คิดถึง

ฉันตกลงใจแล้วล่ะ ว่าจะส่งจดหมายฉบับนี้ถึงเธอ…แม้ว่าเธออาจจะไม่อยากอ่านจดหมายของฉันแล้วก็ตาม

ฉันมีเรื่องมากมายอยากคุยกับเธอ หากเป็นไปได้ ก็อยากพบ อยากเจอ ยังมีภาพนั้นอยู่ในใจของฉัน

…เราสองคนนั่งคุยกันบนลานหญ้า ฉันจะอ่านบทกวีให้เธอฟัง

 

เพียงบัว, เพื่อนที่อยู่ห่างไกล

ฉันคิดถึงเธอมากมายขึ้นทุกวัน เพราะในทุกๆ วัน ฉันได้ตระหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า มีเรื่องมากมายไม่อาจจะเล่าให้ใครฟัง

ฉันมีเรื่องติดค้างในใจเกี่ยวกับพี่สาว แม่ พ่อ และทุกๆ คนที่มองเห็นกันอยู่ในหมู่บ้าน

ฉันมีเรื่องติดค้างใจเกี่ยวกับเพื่อนๆ ที่เคยคบหา กระทั่งพลัดพรากจากกันไป

ฉันมีเรื่องติดค้างใจเกี่ยวกับตัวฉันเอง…

ฉันสงสัยนักว่า ชีวิตของเราแต่ละคน จะเดินไปสู่แห่งหนไหน

ฉันยังสงสัยอยู่ไม่คลาย พวกเราเกิดมาทำไม หรือพูดให้ถูกคือ คนอย่างพวกฉันเกิดมาทำไม มาเป็นคนยากคนจน คนที่ยากจะลืมตาอ้าปากได้ โลกกว้างเพียงใด ก็ไกลแค่เส้นขอบภูเขาบังฟ้า

ฉันยังสงสัยทุกช่วงเวลา เราจะมีความสุขอย่างแท้จริงได้หรือไม่ สุขที่จะไม่ยุบแตกกระจายเหมือนละอองน้ำแฟ้บซักผ้า สุขที่จะอยู่กับเราไปตลอดกาลนาน เหมือนเถ้าถ่านที่โรยลงคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกับฝุ่นละออง

 

เพียงบัว, เพื่อนที่รักของฉัน

เมื่อวานนี้ ฉันไปร้านหนังสือที่หน้าตลาดมา ใช่แล้วล่ะ ยืนอยู่หน้าแผง ฉันเห็นหนังสือเหล่านั้นโดดเด่นขึ้นจนเต็มตา

ฉันมีเงินอยู่ในมือจำนวนหนึ่ง, ใช่ เมื่อวานนี้ฉันมีเงินจำนวนหนึ่ง จึงมั่นใจพอที่จะขอเจ้าของเขาเปิดดู

พอเปิดดู…ฉันก็เห็นบทกวีของเธอ และชื่อเธอ เป็นอย่างแรก พร้อมกับอีกอย่างที่ทำให้ใจสั่นไหว

ฉันเห็นบทกวีข้างใน…อีกบทหนึ่ง คือบทกวีของฉัน

ตามจริงแล้วเธอรู้ไหม มันคือบทแรกที่ฉันเขียนส่งไป แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันเคยได้ลง จนกระทั่ง…มีคนส่งมาถามหาฉัน

“อยากรู้จักคนที่เขียนบทกวีนี้”

และคนคนนั้นก็ยังคงเป็นเธอ

แต่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ เธอกำลังอยากรู้จักคนเขียนบทกวีคนอื่น

เธอยังถามหาคนอื่น เพียงบังเอิญยังคงเป็นฉัน

 

เขียนได้ถึงเท่านั้น ใจฉันก็ลอยหวนนึกไปถึงวันที่มีแสงแดดส่องฉายในห้องอับฝุ่น

[“อ่านเลย”

เสียงบอกจากผู้ชายภายในห้อง

 

[“…แววตะวันวาดฟ้า

หยาดน้ำตาใครคนหนึ่ง

ความสับสนในห้วงคำนึง

คือภาพฝันตราตรึงจากเมื่อวาน

 

รู้…เธอทุกข์ระทม

ฝันแล้งลมล้วนเลยผ่าน

ทรงจำและตำนาน

ชีวิตคือความยากไร้

 

ก่อนนั้นเราฝันว่า

ตะวันลาเพื่อมาใหม่

รอยยิ้ม น้ำตาใด

ล้วนเปลี่ยนไปตามช่วงกาล

 

หากวันแล้ววันเล่า

เรื่องเก่าเก่ายังเล่าขาน

นักฝันแดนกันดาร

ถูกประหารเสมอมา

 

ประหารด้วยฝันสวย

อีกคมดาบปรารถนา

ผู้มีทรัพย์ วิชา

อำนาจเขาเราหรือทัน…”

 

“จบแล้วหรือ”

“…ฮะ”

“เหมือนยังไม่จบนะ”]

ครั้งหนึ่ง ฉันเคยคิดว่า หากฉันจะมีชีวิตที่เรียบง่าย ก็คงไม่จำเป็นต้องมีบทกวี แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็ยังอยู่อย่างนี้

มีบทกวีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉัน

[“ขยับขาอีกหน่อยสิ…วันนี้จะเอาเท่าไหร่”

ฉันบอก

“เอาไปทำไมเยอะนัก”

“จะต้องกลับบ้าน แม่ขาหัก”

“ตกลง เดี๋ยวจะให้ ตามใจเฮียก็แล้วกัน”]

 

เพียงบัว, เพื่อนเพียงผู้เดียวของฉันในยามนี้

ฉันจากไปครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อจะหวนกลับมา

ฉันกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อจะรอเวลาจากไป

เธออยู่ลพบุรี ฉันอยู่เชียงใหม่

แล้วครึ่งทางระหว่างเราอยู่ตรงที่ใด

เธอเขียนจดหมายไปถึงนิตยสารว่า อยากจะรู้จักฉัน

เธอเขียนถึงฉันตั้งหลายครั้งหลายคราว

มีแต่เธอเท่านั้น, เธอเท่านั้นจริงๆ ที่มองเห็นฉัน จุดเล็กๆ บนผืนดิน ขณะท้องฟ้าดารดาดด้วยดวงดาว

มีแต่เธอเท่านั้น, เธอเท่านั้นจริงๆ ที่ส่องแสงสุกสกาว ในยามนี้ วันนี้ เวลานี้ เพื่อให้ฉันได้แหงนมองเธอเหมือนมองดวงดาว

และตัดสินใจจะส่งตัวข้ามหนังสือฟ้าไปหา

 

แต่ว่า…เพียงบัว, เพียงบัวมิตรของฉัน

เธออยากรู้จักฉัน ขณะที่เธอเองก็เต็มไปด้วยเพื่อนมากมายให้คบหา

เธอยังมีเพื่อนใหม่ ซึ่งคงเปี่ยมด้วยความสามารถมากมาย เป็นคนที่เกิดในชาติตระกูลดี มีบุญวาสนา

ถ้าพวกเธอพบปะคบหากัน ทุกอย่างคงดำเนินไปได้ด้วยดี

แต่การที่เธอยังเขียนจดหมายถึงฉัน มันก็จึงเหมือนน้ำที่ราดลงบนพื้นดินแตกระแหง

ฉันคือดินก้อนหนึ่งที่แห้งแล้ง แต่ฉันไม่อาจถ่วงรั้งตัวเองอยู่แต่กับความเคลือบแคลง

ฉันย่อมควรต้องฉวยโอกาสเหล่านี้เอาไว้

ตักตวงน้ำใจและสิ่งที่เธอให้…สิ่งที่ฉันพอจะคว้าได้ ณ เวลานี้ จากเธอ

 

เพียงบัว, เพียงบัว

จดหมายฉบับนี้ ฉันส่งมาจากหัวใจที่รักและอยากขอยอมสยบแล้ว

ฉันเหมือนแก้วร้าวใบหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะแตกพลัดลงสิ้นเมื่อใด

ฉันรู้ดี เรามีชีวิตต่างกัน ฉันไม่ใช่คนน่ารักอย่างเธอ ฉันไม่ใช่คนไร้เดียงสา

แต่การได้พบกับคนอย่างเธอ ทำให้ฉันยังพอมีจุดเล็กๆ ของศรัทธา

นับแต่วันที่ฉันได้พบว่า ยังมีคนคนหนึ่งในโลกนี้ที่สนใจบทกวีของฉัน

และยังไม่เคยตั้งคำถามกับฉัน ว่าเป็นคนดีเลวอย่างไร

 

ฉันไม่ใช่คนดีหรอกนะเพียงบัว, ไม่เคยใช่

คนรอบตัวฉันก็เหมือนกัน ไม่ใช่ใครเป็นพระเจ้าได้สักคนเดียว แม้แต่พ่อ-แม่ของฉัน

ทุกๆ วัน พวกเราอยู่กันเหมือนปลาว่ายในแอ่งน้ำโคลน เปื้อนเปรอะอยู่ตรงนั้น ว่ายวนหากินกันไปตามประสา

แต่โลกนี้เปลี่ยนไปเมื่อมีเธอเข้ามา, มันเปลี่ยนไปจริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน

อีกเรื่อง…เมื่อวันวาน…ที่ฉันไปยืนหน้าแผงขายหนังสือ ฉันได้ยินเสียงหนึ่งถามว่า

“ไม่ทำจุลสารอีกแล้วหรือ?”

ฉันชะงักไป เงยหน้า ก็เจอกับสายตาหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง ผมหยักศกเล็กน้อย ยืนจ้องฉันอยู่

“พี่ก็เป็นสมาชิกนะ แต่รับได้ไม่นาน น้องก็ออกจากหมู่บ้านไปเสียแล้ว”

ฉันตกตะลึงอยู่ตรงนั้น และนั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดกับฉัน…ที่ทำให้ฉันคิดว่า ถ้าจะกลับมาทำจุลสารต่อ?…ถ้าจะเขียนจดหมายกลับมาขอ…ยังอยากขอโอกาสเป็นเพื่อนกันกับเธอ? เธอจะยังให้โอกาสฉันไหม

เธอจะยังอยากคบฉันอีกไหมคนดี