อนุสรณ์ ติปยานนท์ : อาหารในความหลัง

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (30)
เรื่องเล่าจากเหมืองเกลือบทที่แปด

เรื่องเล่าของเธอเต็มไปด้วยความอัศจรรย์

พ่อผู้มีฝีมือในการหมักขาหมูกับเกลือหายสาบสูญไปจากบ้าน

แม่ผู้ไม่อาจรับรสเค็มได้อีกต่อไป

เธอผู้มีร่างกายที่มีกลิ่นของทะเล

ชายผู้ยึดมั่นในฝีมือการหมักอาหารของพ่อ

ชายผู้ที่เลิกราในการทำงานหลังไม่มีพ่อของเธออีกต่อไป

และชายผู้กลับมาในงานเลี้ยงของเธอพร้อมกับอาหารจากฝีมือของพ่อเธอ

เขาเรียบเรียงเรื่องราวเหล่านั้นในหัวดังนักเดินทางที่ต้องคอยตรวจสอบแผนที่อยู่เสมอ มีอะไรที่ขาดหายไป มีเส้นทางใดที่เราหลงลืมผ่านตา มีสัญลักษณ์ใดซ่อนอยู่ในเส้นทางเหล่านั้นบ้างไหม

และแล้วเขาก็พบว่าทุกอย่างล้วนบรรจบอยู่ในเรื่องเดียว ทะเล เกลือ และรสเค็ม

ที่เหลือเป็นเพียงรายละเอียดของมันเท่านั้นเอง

 

“แต่คุณบอกว่าพ่อของคุณหายสาบสูญไป?”

“ใช่ ฉันและแม่เชื่อเช่นนั้นว่าเขาหายสาบสูญไป เป็นการหายสาบสูญที่ไม่อาจตามหาได้ เราพยายามตามหาพ่อในทุกแห่งหน ในทุกวิถีทาง แต่เปล่าประโยชน์ การกระทำนั้นไร้ความหมาย เราไม่พบร่องรอยใดๆ ของพ่อเลย ราวกับเช้าวันนั้น พ่อเดินออกจากบ้านและหายไปในเมฆหมอก”

“แต่โทโกโรโก้ผู้นั้น ผู้ที่มีนามว่าเอนริเก้กลับมาเยือนพวกคุณพร้อมกับจามอนที่เป็นฝีมือของพ่อคุณ”

“ใช่ เอนริเก้กลับมาเยือนพวกเราพร้อมกับจามอนที่เป็นฝีมือของพ่อ”

“นั่นแสดงว่าพ่อของคุณยังมีชีวิตอยู่”

“ใช่ พ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่”

 

เธอไม่ได้กล่าวต่อ หากแต่ปรับเบาะในรถโดยสาร ดึงผ้าห่มลายตารางขึ้นคลุมตัว เขามองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ อีกราวชั่วโมงกว่าๆ พวกเขาน่าจะถึงจุดหมาย เขาอยากฆ่าเวลาระหว่างนั้น แต่มันไม่มีกิจกรรมใดเลย ทิวทัศน์ระหว่างทางเต็มไปด้วยป่าละเมาะ อีกทั้งดนตรีสมัยใหม่ที่ดังออกจากลำโพงเหนือศีรษะก็แปร่งหูเสียเหลือเกิน

เขาเอนหลังลงกับเบาะ ทำแบบเดียวกับเธอ

แต่แทนการหลับใหล เขาขบคิดถึงอาหารที่บ้านเกิดของตน หากหญิงสาวผูกพันกับจามอน เขาเล่ามีสิ่งใด มีอาหารใดให้ได้ผูกพันบ้าง

เขาเกิดที่จังหวัดเล็กๆ ใกล้อ่าวไทย ที่นั่นมีทั้งน้ำตาลมะพร้าว มีทั้งนาเกลือ มีทั้งพริกและวัตถุดิบอื่นๆ อีกทั้งยังมีเสียงเพลง

เขาจำได้ว่าทุกค่ำคืนหลังแสงอาทิตย์ลาลับ เขาจะได้ยินเสียงซอดังมาจากหัวคุ้งน้ำ เพลงไทยเดิมที่มีจังหวะอ่อนหวาน เนิบช้า และเศร้าสร้อย

ไม่นับว่าในหน้าเทศกาลทั้งสงกรานต์และลอยกระทง เขาจะได้ยินเสียงเพลงที่บรรเลงด้วยไวโอลินจากนักดนตรีที่มีชื่อเสียงแห่งเมือง เสียงเพลง “ขอให้เหมือนเดิม” คือเพลงที่เขาจำได้แต่วัยเยาว์

ทว่าพ้นจากมนต์ขลังด้านเสียงเพลงเหล่านั้นแล้ว เขายังนึกถึงกุ้ง หอย ปู ปลา

โดยเฉพาะปลานั้น เขานึกถึงปลายี่สนและปลาทูอันเป็นปลาที่ถือได้ว่ามีเอกลักษณ์ในการใช้ทำอาหารพื้นถิ่นอย่างยิ่ง

 

โดยเฉพาะปลายี่สนผัดที่มีรสออกเค็มและหวานนั้น เขาจำได้ว่ากินมันกับข้าวแช่บ่อยครั้ง

เป็นข้าวแช่ที่แม่ทำและเป็นปลายี่สนที่แม่ผัด

แม่ใช้ปลายี่สนแดดเดียวเอามาหั่นเป็นท่อน ก่อนนำลงไปต้มกับน้ำเดือดจนเนื้อปลาสุก

หลังจากนั้นแม่จะแกะเอาแต่เนื้อปลาเอาลงใส่ครกตำจนเนื้อปลาฟูแล้วพักไว้

ต่อจากนั้นแม่จะเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าวด้วยไฟอ่อน ระหว่างเคี่ยวแม่จะคอยเติมน้ำให้น้ำตาลเหลวจนข้นแล้วเอาลง ตั้งกระทะเอาน้ำมันใส่ เจียวหัวหอมจนเหลืองนวล และเอาปลายี่สนที่ตำไว้ลงไปผัดก่อนจะค่อยๆ เติมน้ำตาลที่เคี่ยวไว้ทีละน้อย

ผัดจนปลาและน้ำตาลเข้ากันเป็นเนื้อเดียว กินกับข้าวแช่ยามหน้าร้อนให้ความชุ่มชื่นใจที่เขาไม่มีวันลืม

แต่ปลาที่เขาผูกพันและกินมันบ่อยที่สุดได้แก่ปลาทู ปลาทูนั้นเป็นปลาสามัญประจำบ้านสำหรับครอบครัวของเขาเลยก็ว่าได้ เขาเรียนรู้วิธีดึงเหงือกและไส้ปลาทูเป็นตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนด้วยซ้ำไป

หลังจากดึงเหงือกและไส้ออกแล้ว จะนำปลาทูไปต้มโดยแช่น้ำเกลือก่อนล่วงหน้า

ส่วนเหงือกและเครื่องในนั้นนำมาผัดกับขิงซอยอันเป็นสำรับอาหารที่เขาชอบโดยการต้มตับและไตปลาทูกับตะไคร้ ใส่เกลือ ใบมะกรูด

หลังจากนั้นตั้งกระทะ ใส่กระเทียมลงเจียวจนหอม เอาตะไคร้ ใบมะกรูดอีกชุดลงผัด ตามด้วยตับและไตปลา ผัดให้ทั่วจนหอม ใส่ขิงซอย

ปรุงด้วยน้ำปลา น้ำตาล เท่านั้น

 

ว่าไปแล้วเขาเติบโตมากับรสหวาน เมืองที่มีต้นมะพร้าวแทบทุกบ้าน ในขณะที่สาวน้อยผู้นั้นคิดถึงรสเค็ม เขากลับคิดถึงแต่รสหวานเพราะแม้กระทั่งปลาทูแดดเดียวที่เขาทานก็มีรสหวาน เอาปลาทูสดมาควักไส้ แบะตัว เอาก้างออก แล้วผสมน้ำปลากับน้ำตาลให้เป็นเนื้อเดียวกัน เอาปลาลงคลุกเคล้าให้ทั่ว ตากปลาสักแดดเดียว เวลานำไปทอดกรอบ กลิ่นปลาจะหอมมาก

นอกจากปลาทูแล้วยังมีหอยหลอดอีกอย่างที่เป็นของขึ้นชื่อ แม่ของเขาชอบทำหอยหลอดต้มส้มมาก แม่จะโขลกพริกไทย รากผักชี จนละเอียด แล้วนำกะปิ หอมแดง มาตำรวมกัน แล้วนำไปผัดจนหอม ใส่น้ำมะขามเปียกลงหม้อ ตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องที่ผัดลงไป

ปรุงด้วยน้ำปลา น้ำตาล

แล้วตามด้วยหอยหลอดสดในขั้นสุดท้าย เติมขิงซอย พริก ต้นหอม เขาจำรายละเอียดเหล่านี้ได้แม่นมั่นเพราะแม่บังคับให้เขาจดทุกอย่างและนำมาอ่านออกเสียงให้แม่ฟัง

แม่ผู้อยู่กับเขาจนวาระสุดท้ายของชีวิต

แม่ที่ไม่เคยจากเขาไปไหนเลย

 

เขาจมอยู่กับความคิดถึงบ้านเกิดและครอบครัวอย่างยาวนาน เมื่อเขารู้สึกตัวและเหลียวมองสาวน้อยข้างๆ เธอกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“ฉันเรียกคุณสองถึงสามครั้ง แต่คุณไม่ตอบฉันเลย”

“ผมขอโทษด้วย”

“ดูเหมือนคุณกำลังคิดถึงอะไรอยู่”

“ใช่ ผมกำลังคิดถึงบ้านเกิดที่ผมจากมา”

“คุณคงคิดถึงมันมาก” สาวน้อยพูด เธอพับผ้าห่มลายตารางก่อนจะวางมันลงข้างตัว

“ผมคิดถึงเรื่องราว คิดถึงอาหารที่นั่น คิดถึงครอบครัวและผู้คน มีความทรงจำมากมายเหลือเกินที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน”

“เราทุกคนล้วนมีความทรงจำมากมายในตัว ความทรงจำของคุณสุขหรือเศร้ากัน”

“ความทรงจำของผมมีรสหวาน ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นความสุขหรือความเศร้า หากแต่ว่ามันมีรสหวาน”

“เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินคนเปรียบเปรยถึงความทรงจำในแง่ของรสชาติ ถ้าเช่นนั้น ความทรงจำของฉันก็มีรสเค็มปร่าแน่ๆ”

เขายิ้ม

 

เสียงประกาศจากพนักงานขับรถว่าอีกไม่นานรถโดยสารจะเลี้ยวเข้าไปในเมืองท่ากดั้นสค์ หากใครมีความประสงค์จะลงระหว่างทางขอให้แจ้งล่วงหน้า มิเช่นนั้นรถจะจอดที่สถานีเพียงที่เดียว

เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบสัมภาระจากช่องเก็บของ สัมภาระของเขาและเธอ

“เราจะลงที่จุดแรกที่มองเห็นทะเล เราจะเดินเลียบทะเลไปด้วยกัน”