ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 พฤษภาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“หลังโควิด-19 แล้ว จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป”
Edwin Naidu (University World News)
หลังจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 บรรเทาลง แบบแผนของชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ดังนั้น บทความนี้จะทดลองนำเสนอมุมมองอย่างสังเขปในมิติทางสังคม
1)โรคระบาด = ภัยคุกคาม
เมื่อผู้กำกับฯ Larry Brilliant สร้างภาพยนตร์เรื่อง “Contagion” ออกฉายนั้น ผู้ชมหลายคนก็คิดว่าหนังเรื่องดังกล่าวอาจจะเป็นเพียงจินตนาการของผู้สร้าง
แต่อย่างน้อยสิ่งที่ผู้กำกับฯ พยายามสื่อสารมาพร้อมกับความตื่นเต้นบนจอก็คือ สมมุติฐานชุดใหญ่ของความเป็นไปของชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่ว่า “โรคระบาดคือภัยคุกคาม”
และสำหรับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในปัจจุบันแล้ว Contagion ก็คือสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันนั่นเอง
นอกจากนี้ นักอนาคตวิทยาหลายคนก็มองในทิศทางที่คล้ายคลึงกันว่า การแพร่ของโรคระบาดจะเป็นหายนะสำคัญของโลก และเป็นหายนะที่สังคมต่างๆ อาจจะไม่ได้เตรียมรับมือเท่าที่ควร เพราะเรามักจะละเลย หรือไม่ก็มองข้ามปัญหาดังกล่าว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อในโลกสมัยใหม่ว่า มนุษยชาติในประเทศพัฒนาแล้วที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สามารถเอาชนะต่อโรคระบาดได้แล้ว
ในอีกด้านหนึ่งการแพร่กระจายของเชื้อโรคเป็นปัญหาของประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนและมีความล้าหลังทางวิทยาการ
แต่การระบาดของโควิดครั้งนี้พิสูจน์ชัดว่า แม้ประเทศที่พัฒนาก้าวหน้าไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือยุโรป ไม่มีความพร้อมในการต่อสู้กับการระบาดนี้
ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตในประเทศดังกล่าว เช่น จำนวนผู้เสียชีวิตในสหรัฐ อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส เป็นต้น
บทเรียนสำคัญจากกรณีของโควิดชี้ให้เห็นว่า โรคระบาดจะไม่เป็นเพียงปัญหาทางการแพทย์อีกต่อไป หากแต่ผลที่เกิดขึ้นเป็นทั้งปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงคู่ขนานกันไปทั้งระบบ
ดังนั้น การสร้าง “ระบบเตือนภัยด้านสุขภาพ” เป็นประเด็นสำคัญทั้งในระดับรัฐและในระดับโลกในอนาคต
2)ทุนนิยม-สังคมนิยม
หากเราย้อนอดีตความขัดแย้งในยุคสงครามเย็น จะเห็นได้ชัดเจนถึงการต่อสู้ทางอุดมการณ์สองชุดที่สำคัญ คือปัญหาระหว่าง “ทุนนิยม vs สังคมนิยม”
แต่หลังจากการสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นที่อาจจะถือเอาการรวมชาติของเยอรมนี และมีภาพเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญด้วยการ “ล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน” ในเดือนพฤศจิกายน 1989 ฉะนั้น การสิ้นสุดของสงครามเย็นจึงเท่ากับเป็นการบ่งบอกถึงการ “ล่มสลายของลัทธิสังคมนิยม”…
อุดมการณ์สังคมนิยมจบไปหมดแล้ว โลกสังคมนิยมห่างหายไปและถูกบดบังด้วยการเติบโตของโลกทุนนิยมที่เป็นโลกาภิวัตน์
แต่นักทฤษฎีสังคมการเมืองทุกคนตระหนักดีว่าการเติบโตของโลกาภิวัตน์ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน เช่นเดียวกับที่วิกฤตในระบบทุนนิยมเป็นสิ่งที่ยั่งยืน
ดังนั้น การเติบโตของกลุ่มการเมืองปีกขวาในโลกตะวันตกปัจจุบัน หรือที่เรียกว่า “ประชานิยมปีกขวา” (Rightwing Populism) อาจจะถือว่าเป็นผลผลิตของระบบทุนนิยมที่เป็นโลกาภิวัตน์นั้น จนดูเหมือนว่าในสภาวะเช่นนี้ “สังคมนิยมตายแล้ว!”
หากแต่เรายังพอเห็นถึงการขับเคลื่อนของปีกซ้ายในการเมืองยุโรปอยู่บ้าง เช่นในกรณีของสเปน
แต่สิ่งที่กำลังกลายเป็นข้อสังเกตถึงการขยายตัวของแนวคิดสังคมนิยมในปัจจุบัน คือการหาเสียงในการแข่งขันหาตัวผู้สมัครในการเมืองอเมริกัน ที่ทิศทางการเมืองของผู้เสนอตัวอย่างแซนเดอร์มีลักษณะที่เป็นไปทางสังคมนิยม หรือคนรุ่นใหม่ในสหรัฐไปในทางที่เป็นสังคมนิยมมากขึ้น
จึงทำให้เห็นถึงการขยายตัวของแนวคิด “สังคมนิยมประชาธิปไตย” (Democratic Socialism) ที่กำลังเป็นทางเลือกใหม่
3)สังคมคนจน
ในภาวะที่สังคมทั้งหลายต้องเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดครั้งนี้ อันนำไปสู่การตกงานครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายสังคม และอาจมีจำนวนทั่วโลกมากถึง 195 ล้านคน (การประเมินของสหประชาชาติ) หรือคิดเป็นร้อยละ 37.5 ของการจ้างงานของโลก
ดังนั้น ทุกสังคมจึงต้องการ “สวัสดิการสังคม” ชุดใหญ่ ดังเช่นการอนุมัติเงินครั้งใหญ่ของรัฐสภาอเมริกันเป็นจำนวน 2 ล้านล้านดอลลาร์ ($ 2 trillion)
หรือรัฐสภาแคนาดาอนุมัติงบประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นตัวอย่างในกรณีนี้ ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอกับวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน จนถึงกับมีการผลักดันเรื่อง “รายได้พื้นฐานที่เป็นสากล” (Universal Basic Income) ให้เป็นทางออกสำหรับคนงานในอนาคต โดยเฉพาะการตกงานอย่างถาวร เพราะการปรับเปลี่ยนของโลกธุรกิจและอุตสาหกรรมในยุคหลังโควิด
ทิศทางเช่นนี้ส่วนหนึ่งส่งสัญญาณถึงความต้องการจากภาคสังคมที่หลังจากสิ้นสุดการระบาดแล้ว จะมีการเรียกร้องให้สร้าง “รัฐสวัสดิการ” (Welfare State) มากขึ้น
และข้อถกเถียงในมิติทางการเมืองจะมีทิศทางเป็นสังคมนิยมมากขึ้น หรืออย่างน้อยอุดมการณ์การเมืองในโลกตะวันตกจะเป็นแบบ “สังคมนิยมประชาธิปไตย”
เพราะนับจากนี้โลกจะเผชิญกับการขยายตัวของความยากจนขนาดใหญ่ และอาจนำไปสู่การขยายตัวของช่องว่างของรายได้ โดยเฉพาะในประเทศยากจน
4)ระยะใกล้-ระยะห่าง
เดิมสังคมสร้างความสัมพันธ์ในลักษณะที่ใกล้ชิดของบุคคลทางกายภาพ แต่ผลจากการระบาดครั้งนี้ กลับไม่ต้องการความใกล้ชิด
ข้อเสนอในทางการแพทย์คือ การรักษา “ระยะห่างทางกายภาพ” (physical distancing) [องค์การอนามัยโลกไม่เสนอให้ใช้คำว่า การรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ “social distancing”] หรืออาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่จะกลายเป็นแบบแผนของชีวิตจากยุคโควิดจนถึงยุคหลังโควิดก็คือ การไม่ใกล้ชิดคือป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และเราอาจคุ้นชินกับการใส่หน้ากากมากขึ้นด้วย
ดังนั้น หากพิจารณาในมิติทางเทคโนโลยี เราจะเห็นได้ถึงความเป็น “โลกที่ถูกเชื่อมต่อ” (connected world) และเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อของโลกาภิวัตน์
แต่ในชีวิตจริงของบุคคลในยุคโควิดกลับมีลักษณะเป็นแบบ “ไม่เชื่อมต่อ” (disconnected)
ฉะนั้น แม้การระบาดจะสิ้นสุดจริง แต่ชีวิตการพบปะทางสังคมอาจจะไม่กลับสู่แบบเดิมทั้งหมด เพราะความกลัวการเกิดการระบาดซ้ำจะยังทำให้คนในสังคมต้องรักษาระยะห่างทางกายภาพต่อไป
ตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน เช่น การทักทายด้วยการสวมกอดในแบบชีวิตคนตะวันตกอาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การระบาด
หรืออีกนัยหนึ่งการเชื่อมต่อผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเข้ามาแทนที่การติดต่อโดยตรงที่จะต้องมีการพูดคุยกัน (interfaces) อันอาจกล่าวในยุคโควิดได้ว่า “เราสัมผัสหน้าจอมากกว่าสัมผัสมือ”
และในยุคนี้ดูเหมือนเราจะถูกเตือนให้ลดทอนการสัมผัสพื้นผิวต่างๆ (ยกเว้น “ผิวจอ” ของคอมพิวเตอร์) ซึ่งก็คือการลด “การสัมผัสทางกายภาพ” ในสังคม
5)บ้านคือสถานที่ทำงานใหม่
หนึ่งในการเปลี่ยนแบบแผนชีวิตในยุคโควิดคือการต้องทำงานจากบ้าน หรือที่ประเด็นนี้กลายเป็นข้อเสนอสำคัญเพื่อควบคุมปริมาณการเดินทางของคนในสังคมคือ “work from home” และบทบาทของสถานที่ทำงานในทางกายภาพก็เปลี่ยนไป เพราะด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อมต่อบุคคลได้โดยไม่มีข้อจำกัดของระยะห่างทางภูมิศาสตร์ (ข้อจำกัดมีเพียงการมีสัญญาณและอุปกรณ์เท่านั้น)
ทำให้การระบาดของโควิดเป็นปัจจัยบังคับที่ทำให้ความจำเป็นของสถานที่ทำงานในแบบเดิมหมดความสำคัญลง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้เห็นถึงความไม่จำเป็นของชีวิตบริษัทแบบเก่า ที่ต้องพึ่งพาการประชุมและต้องมีห้องประชุมรองรับ หรืออีกนัยหนึ่งโลกธุรกิจแบบเก่าต้องการ “การประชุมทางกายภาพ” (physical meetings) แต่ความต้องการเช่นนี้เปลี่ยนไป เพราะเมื่อการเชื่อมต่อเกิดขึ้นได้ในทุกสถานที่แล้ว
การทำงานจากบ้านกำลังกลายเป็น “บรรทัดฐานใหม่” ของชีวิตทางธุรกิจในยุคหลังโควิด หรืออาจจะกล่าวได้ว่าบริษัทในอนาคตจะมีลักษณะเป็นดัง “บริษัทระยะไกล” (remote company)
ซึ่งสิ่งที่ต้องการสำหรับบริษัทในรูปแบบเช่นนี้คือ การยอมกระจายอำนาจในการทำงาน และการกระจายอำนาจในระดับของคนทำงาน (หรือในระดับบุคคล)
6)อินเตอร์เน็ตคือโลก
การระบาดของไวรัสโควิดในครั้งนี้เป็นบททดสอบที่สำคัญของ “โลกอินเตอร์เน็ต” และในขณะเดียวกันก็เป็นความโชคดีที่โลกในยุคปัจจุบันมีการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถลดทอนปฏิสัมพันธ์ทางตรงลงได้อย่างมาก
จนอาจกล่าวได้ว่าชีวิตในยุคโรคระบาดทำให้เราต้องพึ่งพาอินเตอร์เน็ตมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หรืออาจกล่าวเชิงเปรียบเทียบได้ว่า เรากำลังเปลี่ยนจาก “human interfaces” เป็น “machine interfaces” มากขึ้นนั่นเอง
สภาพเช่นนี้ทำให้การเดินทางข้ามประเทศเพียงเพื่อไปประชุมในแบบเดิม อาจจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะเสียทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเสียเวลาในการเดินทาง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วย “การประชุมผ่านวิดีโอ” (video conference) ซึ่งใช้ได้กับงานต่างๆ ในทุกภาคส่วน ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่กับภาคธุรกิจเท่านั้น
และจะเห็นได้ในอนาคตว่า การเดินทางเพียงเพื่อไปประชุม (การพบกันทางกายภาพ) อาจจะไม่มีความจำเป็นและความคุ้มค่าอีกต่อไป
ในทำนองเดียวกันกิจกรรมต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การจัดอภิปราย/สัมมนา การแข่งขันกีฬา ล้วนถูกจับเอาเข้าไปไว้ในโลกอินเตอร์เน็ต
เช่น มีการแข่งขันซูโมเป็นครั้งแรกที่ถ่ายทอดสดผ่านอินเตอร์เน็ต โดยไม่อนุญาตให้มีผู้ชมเข้าร่วมโดยตรง หรือในอนาคตการเข้าวัด/โบสถ์ พระอาจจะ “สตรีมสด” คำเทศน์ในแต่ละวัน
การสร้างความเข้มแข็งของระบบอินเตอร์เน็ตเพื่อรองรับต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคหลังโควิดจึงเป็นประเด็นที่มีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องลงทุน อย่างน้อยเพื่อรองรับต่อวิกฤตการณ์ในอนาคต ซึ่งการลงทุนของภาครัฐจะต้องไม่คิดแต่เพียงในเรื่องของกำไร/ขาดทุน เพราะการใช้งบประมาณในประเด็นนี้จะเป็น “การลงทุนทางสังคม”
รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถในเรื่องของการรักษาพยาบาลทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต อันอาจเป็นคำตอบของงานสาธารณสุขในอนาคต
7)เอไอช่วยได้
นอกจากการลงทุนทางด้านไอทีแล้ว รัฐบาลในอนาคตควรจะต้องลงทุนในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควบคู่กันด้วย เพราะเอไอจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเหลือมนุษย์ในการพัฒนาทางด้านสาธารณสุข และการใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ในการทำงานทางการแพทย์บางอย่าง
ในกรณีของจีน เห็นถึงการใช้โดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพในการเฝ้าตรวจการเดินทางในที่สาธารณะ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
8)สื่อเก่าไป สื่อใหม่มา
หนึ่งในผลกระทบใหญ่จากการระบาดของโควิดคือ อุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์
เพราะก่อนการระบาด ธุรกิจสิ่งพิมพ์เองก็ได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของสื่ออินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว รวมถึงงานโฆษณาที่เป็นรายได้สำคัญของหนังสือพิมพ์ก็ขยับไปอยู่กับสื่อใหม่
การติดตามข่าวจากสื่อจึงไม่ใช่การอ่านหนังสือพิมพ์ในแบบเก่า แต่อ่านจากสื่ออินเตอร์เน็ต
ดังนั้น แม้สื่อใหญ่อาจจะมีรายได้มากขึ้นผ่านโลกออนไลน์
แต่สื่อฉบับเล็กอาจจะอยู่รอดได้ยาก ไม่ว่าจะลดค่าใช้จ่ายลงอย่างไรก็ตาม
ดังนั้น หลังวิกฤตโควิดจะส่งผลให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในหลายประเทศต้องปิดตัวลง
และอาจจะรวมถึงสื่อระดับกลางก็จะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
อีกทั้งผลจากการถูก “ล็อกดาวน์” จะทำให้คนคุ้นกับการอ่านข่าวสารจากสื่ออินเตอร์เน็ตมากขึ้น
9)การศึกษาที่ไม่มีห้องเรียน
การระบาดครั้งนี้เปลี่ยนโลกทางการศึกษาอย่างมาก ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั่วโลกเห็นพ้องกันว่า มหาวิทยาลัยจะต้องรีบเอาห้องเรียนไปไว้ในออนไลน์ และอาจจะต้องจัดระบบอุดมศึกษาใหม่
ทั้งการเรียนการสอนและการวิจัย รวมถึงการเรียนการสอนทางไกลในระดับปริญญาโทและเอกด้วย
ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของนักศึกษาลงอย่างมาก
และเปิดโอกาสให้เกิดการเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้นด้วย
10)ผลสืบเนื่อง
การระบาดครั้งนี้ส่งผลให้การจ้างงานแบบเก่าต้องยุติลง
แต่ก็จะเกิดการจ้างงานในรูปแบบใหม่ ประมาณการว่า 1 ใน 3 ของแรงงานอเมริกันสามารถทำงานจากที่บ้านได้ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลงได้มาก
และยังส่งผลโดยตรงต่อสภาวะแวดล้อม
เช่น การเดินทางที่ลดลงทำให้การใช้พลังงานลดลง รถติดน้อยลง มลพิษในอากาศลดลงเช่นกัน
การระบาดจึงส่งผลให้สภาพของอากาศโดยทั่วไปดีขึ้น หรืออย่างน้อยการระบาดครั้งนี้ทำให้เกิด “slow life” ในชีวิตจริง
เมื่อการระบาดจบลง วิชาที่จะมีคนอยากเรียนอย่างมากคือ การฝึกการทำสิ่งต่างๆ ด้วยระบบออนไลน์
แน่นอนว่าก็เรียนผ่านออนไลน์ด้วย!