ผู้นำที่ใช้อำนาจบังคับผู้คนฝืนธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ จะถูกต่อต้านขัดขืนจากผู้ร่วมเผ่าพันธุ์

ชีวิตก่อน NEW NORMAL

รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่ใช้อำนวจตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในภาวะฉุกเฉินมาบังคับชีวิตของประชาชนแล้ว

เป็นการผ่อนคลายแบบเป็นขั้นเป็นตอน คือ ค่อยๆ ผ่อนปรนให้เปิดกิจกรรมทีละอย่างสองอย่างตามแต่ที่เห็นว่าอะไรยังเสี่ยง อะไรปลอดภัยขึ้น

“โควิด-19” ส่งผลสูงยิ่งต่อวิถีชีวิตมนุษย์ทั้งโลก ที่น่าสนใจคือ ในช่วงที่มนุษย์รู้สึกปลอดภัยขึ้น ประเด็นเรื่อง New Normal หรือความเป็นปกติของชีวิตแบบใหม่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง

เชื่อกันว่าโควิด-19 จะทำให้การใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป จะเปิดวิถีชีวิตแบบใหม่ขึ้น

มีการสรุปรูปธรรมของ New Normal ขึ้นมามากมาย แต่ส่วนใหญ่จะประเมินไปในทางที่ว่า มนุษย์เราจะสัมพันธ์กันแบบสัมผัสตัวน้อยลง โดยทางร่างกายจะห่างกันมากขึ้น

กิจกรรมที่ใกล้ชิดระดับหายใจใส่ หรือเหงื่อกระเซ็นถึงกันได้จะต้องระมัดระวังมากขึ้น

ซึ่งหมายความว่า กิจกรรม กิจการ หรือการละเล่นใดๆ ก็ตามที่ถึงเนื้อถึงตัวกัน จะต้องควบคุมป้องกันเข้มข้นมากขึ้น

ชีวิตแบบนี้ดูจะสวนทางกับธรรมชาติของมนุษย์

เรารับรู้กันว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ขยายเผ่าพันธุ์ด้วยความสัมพันธ์และสัมผัสที่ใกล้ชิด เช่นเดียวกับความเป็นอยู่ที่อ้อมกอดเป็นความอบอุ่น การอยู่ร่วมเป็นหมู่คณะคือความรู้สึกปลอดภัย

หากจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เช่นนี้ น่าจะเป็นเรื่องเกิดขึ้นไม่ง่ายนัก

จากผลสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” ล่าสุด ว่าด้วยเรื่องการใช้ชีวิตในช่วง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”

คนไทยทำอะไรในช่วงอยู่บ้านยาว โดยให้เลือกตอบกี่ข้อก็ได้

คำตอบร้อยละ 84.34 เล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ อินสตาแกรม, ร้อยละ 83 นอนพักผ่อน, ร้อยละ 78.04 ทำงานที่บ้าน, ร้อยละ 75.70 ดูหนัง, ร้อยละ 72.44 ฟังเพลง, ร้อยละ 70.97 ทำอาหาร ทำขนม, ร้อยละ 69.59 เรียนออนไลน์ที่บ้าน, ร้อยละ 67.61 ออกกำลังกาย, ร้อยละ 62.98 ปลูกต้นไม้, ร้อยละ 58.98 ประกอบพิธีทางศาสนา เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ ทำละหมาด ฯลฯ, ร้อยละ 51.63 เล่นเกมออนไลน์, ร้อยละ 50.26 อ่านหนังสือ นิยาย การ์ตูน, ร้อยละ 50.12 เขียนหนังสือ, ร้อยละ 48.41 ประดิษฐ์สิ่งของใช้เอง (DIY) เช่น หน้ากากอนามัย เฟซชิลด์ ฯลฯ

จากผลสำรวจนี้จะเห็นได้ว่า ความต้องการที่จะสื่อสารต่อกันและกันอันเป็นการสะท้อนถึงความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ยังมีอยู่เต็มเปี่ยมมากกว่าอย่างอื่น

ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ที่ต้องการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนี้น่าจะถือเป็นสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์

จะเห็นได้ว่าการโหยหาที่จะออกมาพบมาเจอกันของผู้คนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไป

แม้จะพยายามใช้อำนาจปิดกั้นแค่ไหน การฝ่าฝืน ทั้งท้าทายอำนาจและแอบซ่อน เกิดขึ้นอย่างไม่มีอำนาจใดบังคับได้

ด้วยธรรมชาติเช่นนี้ของมนุษย์จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายยิ่งของผู้มีอำนาจว่าจะกำหนด New Normal ของผู้คนออกมาแบบไหน

ทางหนึ่งคือ ใช้อำนาจฝืนบังคับให้มนุษย์ฝืนธรรมชาติของตัวเอง

อีกทางหนึ่ง ให้ความรู้กับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ให้รู้จักระวังป้องกันตัวเอง เพื่อแต่ละคนจะมีอิสระในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ ตามความจำเป็นที่จะต้องป้องกันตัวเองของแต่ละคน

มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้นำที่เดินไปในทางใช้อำนาจบังคับผู้คนฝืนธรรมชาติของความเป็นมนุษย์

จะถูกต่อต้านขัดขืนจากผู้ร่วมเผ่าพันธุ์