ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | วิถีแห่งอำนาจ |
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดเล่าก็ยังไขความสงสัยไม่ออก จนถึงกลางวิกาล ดึกสงัด เซียวเล้งนึ่งจึงปลุกเอี้ยก่วยขึ้นมาถาม
หวังว่าความสงสัยจะได้รับการคลี่คลาย
“ก่วยยี้ มีเรื่อง 1 ที่ท่านต้องตอบต่อข้าพเจ้าตามความสัตย์ ท่านกับข้าพเจ้าอยู่ในสุสานโบราณ ผ่านไปสักหลายปีใช่นึกถึงโลกศิวิไลซ์ทางเบื้องนอกหรือไม่”
เอี้ยก่วยงงงันวูบหนึ่ง ชั่วครู่ ไม่ตอบคำ
เซียวเล้งนึ่งถามต่อ “หากท่านไม่สามารถกลับออกมาใช่กลัดกลุ้มใจหรือไม่ ความรักที่ท่านมีต่อข้าพเจ้าแม้ไม่เปลี่ยนผันแต่อยู่ในสุสานโบราณนานวันใช่อัดอั้นตันใจหรือไม่”
เอี้ยก่วยรู้สึกว่าคำถามเหล่านี้ยากตอบได้
ยามนี้นึกดู สามารถครองคู่อยู่ร่วมกับเซียวเล้งนึ่งนับเป็นความสุขสราญดั่งเซียนวิเศษ แต่หากอยู่ในสุสานโบราณที่เย็นยะเยือกและมืดทะมื่น มาตรว่าอาศัยอยู่ 10 ปี 20 ปียังไม่เบื่อหน่าย หากอยู่ถึง 30 ปี 40 ปีเล่า
หากตอบคล้อยตามว่า “ไม่อัดอั้นตันใจ” ความจริงง่ายดายยิ่ง
แต่เอี้ยก่วยมีความจริงใจต่อเซียวเล้งนึ่ง ไม่โป้ปดหลอกลวงแม้แต่น้อย ขบคิดชั่วขณะจึงกล่าวออกมาว่า
“โกวโกว หากแม้พวกเราอัดอั้นตันใจหรือกลัดกลุ้มรำคาญก็ออกมาท่องเที่ยวด้วยกัน”
เซียวเล้งนึ่งส่งเสียงดังอืมม์ ไม่กล่าวกระไรอีก
เหมือนกับเป็นความเงียบ เป็นความเงียบระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วย เหมือนภายในความเงียบจะเป็นความเข้าใจและยอมรับ
แต่ความเป็นจริงในความครุ่นคิดมิได้เป็นอย่างนั้น
“ก๊วยฮูหยิน ไม่ได้หลอกลวงเรา” นี่คือบทสรุปอันรวบรัดยิ่งจากเซียวเล้งนึ่งภายหลังนำเอาคำพูดของอึ้งย้งกับเอี้ยก่วยมาเทียบเคียง
“ภายหน้าเขาต้องอัดอั้นตันใจคิดออกจากสุสาน เมื่อถึงเวลานั้นทุกผู้คนล้วนดูแคลนเขา เขาอยู่ไปยังมีความสุขอันใด เราดีต่อเขา ไม่ทราบผู้อื่นไฉนเหยียดหยามเขา นึกดูเราคงเป็นตัวอัปมงคล เรารักเขา ชมชอบเขา ต่อให้ต้องการชีวิตเราก็ได้ แต่เช่นนี้กลับทำร้ายเขาไม่มีความสุข
“อย่างนั้นเขายังคงอย่าได้ตบแต่งเราประเสริฐกว่า ค่ำคืนที่อยู่บนภูเขาจงน้ำเขาไม่ยอมรับเราเป็นภรรยาย่อมสืบเนื่องจากสาเหตุนี้”
ทบทวนหวนนึกเป็นเวลานาน ได้ยินเสียงลมหายใจของเอี้ยก่วยดังสม่ำเสมอ แสดงว่าหลับสนิท
ดังนั้น พลิกตัวลงสู่พื้น ย่องฝีเท้าถึงข้างเตียง จับจ้องมองเค้าใบหน้าอันคมคายของเอี้ยก่วย จิตใจว้าวุ่นสับสน
อดหลั่งน้ำตาออกมามิได้
เช้าวันรุ่งขึ้น เอี้ยก่วยตื่นขึ้นมารู้สึกว่าหัวไหล่เปียกชื้นไปแถบหนึ่งสร้างความประหลาดใจอยู่บ้าง พบว่าเซียวเล้งนึ่งไม่อยู่ภายในห้อง พอลุกขึ้นนั่งแลเห็นบนพื้นโต๊ะใช้เข็มทองสลักอักษรเล็กละเอียด
“ขอให้ถนอมตัว อย่าได้ครุ่นคิดถึง”
รู้สึกสมองเลอะเลือน อลวน ตะลึงลานอยู่กับที่ ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี บนพื้นโต๊ะแปดเปื้อนด้วยคราบน้ำตายังไม่แห้งเหือด
คราบเปียกชื้นบนหัวไหล่แสดงว่าถูกน้ำตานางหยดหยาดใส่
เอี้ยก่วยถึงกับสมองเลอะเลือน อลวน ผลักบานหน้าต่างกระโดดออกไปร้องเรียกว่า “โกวโกว โกวโกว”
วิ่งถึงคอกม้า จูงม้าผอมออกมา กระโดดขึ้นบนหลัง
ควบขับม้าไปตามทางหลวงขึ้นเหนือ ไม่นานได้ระยะทางหลายสิบลี้ ตลอดรายทางส่งเสียงร้องเรียก “โกวโกว โกวโกว”
แต่ไหนเลยจะมีเงาร่างของเซียวเล้งนึ่ง
การจากพรากระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วยครั้งนี้สำคัญ ส่งผลให้ชะตากรรมความรักระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วยดำเนินไปเหมือนกับที่ลี้มกโช้วเปล่งเป็นเพลงออกมา
“ถามไถ่ทั่วหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด”
เพราะว่าความรู้สึกระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วยดำเนินไปในลักษณาการแห่งความรู้สึก “ร่วม” มีความเป็นหนึ่งเดียว เปี่ยมด้วยความรักอันตรึงตรา ขณะเดียวกัน ที่เซียวเล้งนึ่งอำลาจากเอี้ยก่วยก็ด้วยเหตุผลแห่งความรัก
คราบน้ำตาบนสองไหล่ คราบน้ำตาบนพื้นโต๊ะ คือประจักษ์พยาน