วิถีแห่งอำนาจ : เอี้ยก่วย โดย เสถียร จันทิมาธร : อันว่า “รัก” เป็นฉันใด

เสถียร จันทิมาธร

ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดเล่าก็ยังไขความสงสัยไม่ออก จนถึงกลางวิกาล ดึกสงัด เซียวเล้งนึ่งจึงปลุกเอี้ยก่วยขึ้นมาถาม

หวังว่าความสงสัยจะได้รับการคลี่คลาย

“ก่วยยี้ มีเรื่อง 1 ที่ท่านต้องตอบต่อข้าพเจ้าตามความสัตย์ ท่านกับข้าพเจ้าอยู่ในสุสานโบราณ ผ่านไปสักหลายปีใช่นึกถึงโลกศิวิไลซ์ทางเบื้องนอกหรือไม่”

เอี้ยก่วยงงงันวูบหนึ่ง ชั่วครู่ ไม่ตอบคำ

เซียวเล้งนึ่งถามต่อ “หากท่านไม่สามารถกลับออกมาใช่กลัดกลุ้มใจหรือไม่ ความรักที่ท่านมีต่อข้าพเจ้าแม้ไม่เปลี่ยนผันแต่อยู่ในสุสานโบราณนานวันใช่อัดอั้นตันใจหรือไม่”

เอี้ยก่วยรู้สึกว่าคำถามเหล่านี้ยากตอบได้

ยามนี้นึกดู สามารถครองคู่อยู่ร่วมกับเซียวเล้งนึ่งนับเป็นความสุขสราญดั่งเซียนวิเศษ แต่หากอยู่ในสุสานโบราณที่เย็นยะเยือกและมืดทะมื่น มาตรว่าอาศัยอยู่ 10 ปี 20 ปียังไม่เบื่อหน่าย หากอยู่ถึง 30 ปี 40 ปีเล่า

หากตอบคล้อยตามว่า “ไม่อัดอั้นตันใจ” ความจริงง่ายดายยิ่ง

แต่เอี้ยก่วยมีความจริงใจต่อเซียวเล้งนึ่ง ไม่โป้ปดหลอกลวงแม้แต่น้อย ขบคิดชั่วขณะจึงกล่าวออกมาว่า

“โกวโกว หากแม้พวกเราอัดอั้นตันใจหรือกลัดกลุ้มรำคาญก็ออกมาท่องเที่ยวด้วยกัน”

เซียวเล้งนึ่งส่งเสียงดังอืมม์ ไม่กล่าวกระไรอีก

 

เหมือนกับเป็นความเงียบ เป็นความเงียบระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วย เหมือนภายในความเงียบจะเป็นความเข้าใจและยอมรับ

แต่ความเป็นจริงในความครุ่นคิดมิได้เป็นอย่างนั้น

“ก๊วยฮูหยิน ไม่ได้หลอกลวงเรา” นี่คือบทสรุปอันรวบรัดยิ่งจากเซียวเล้งนึ่งภายหลังนำเอาคำพูดของอึ้งย้งกับเอี้ยก่วยมาเทียบเคียง

“ภายหน้าเขาต้องอัดอั้นตันใจคิดออกจากสุสาน เมื่อถึงเวลานั้นทุกผู้คนล้วนดูแคลนเขา เขาอยู่ไปยังมีความสุขอันใด เราดีต่อเขา ไม่ทราบผู้อื่นไฉนเหยียดหยามเขา นึกดูเราคงเป็นตัวอัปมงคล เรารักเขา ชมชอบเขา ต่อให้ต้องการชีวิตเราก็ได้ แต่เช่นนี้กลับทำร้ายเขาไม่มีความสุข

“อย่างนั้นเขายังคงอย่าได้ตบแต่งเราประเสริฐกว่า ค่ำคืนที่อยู่บนภูเขาจงน้ำเขาไม่ยอมรับเราเป็นภรรยาย่อมสืบเนื่องจากสาเหตุนี้”

ทบทวนหวนนึกเป็นเวลานาน ได้ยินเสียงลมหายใจของเอี้ยก่วยดังสม่ำเสมอ แสดงว่าหลับสนิท

ดังนั้น พลิกตัวลงสู่พื้น ย่องฝีเท้าถึงข้างเตียง จับจ้องมองเค้าใบหน้าอันคมคายของเอี้ยก่วย จิตใจว้าวุ่นสับสน

อดหลั่งน้ำตาออกมามิได้

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เอี้ยก่วยตื่นขึ้นมารู้สึกว่าหัวไหล่เปียกชื้นไปแถบหนึ่งสร้างความประหลาดใจอยู่บ้าง พบว่าเซียวเล้งนึ่งไม่อยู่ภายในห้อง พอลุกขึ้นนั่งแลเห็นบนพื้นโต๊ะใช้เข็มทองสลักอักษรเล็กละเอียด

“ขอให้ถนอมตัว อย่าได้ครุ่นคิดถึง”

รู้สึกสมองเลอะเลือน อลวน ตะลึงลานอยู่กับที่ ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี บนพื้นโต๊ะแปดเปื้อนด้วยคราบน้ำตายังไม่แห้งเหือด

คราบเปียกชื้นบนหัวไหล่แสดงว่าถูกน้ำตานางหยดหยาดใส่

เอี้ยก่วยถึงกับสมองเลอะเลือน อลวน ผลักบานหน้าต่างกระโดดออกไปร้องเรียกว่า “โกวโกว โกวโกว”

วิ่งถึงคอกม้า จูงม้าผอมออกมา กระโดดขึ้นบนหลัง

ควบขับม้าไปตามทางหลวงขึ้นเหนือ ไม่นานได้ระยะทางหลายสิบลี้ ตลอดรายทางส่งเสียงร้องเรียก “โกวโกว โกวโกว”

แต่ไหนเลยจะมีเงาร่างของเซียวเล้งนึ่ง

 

การจากพรากระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วยครั้งนี้สำคัญ ส่งผลให้ชะตากรรมความรักระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วยดำเนินไปเหมือนกับที่ลี้มกโช้วเปล่งเป็นเพลงออกมา

“ถามไถ่ทั่วหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด”

เพราะว่าความรู้สึกระหว่างเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วยดำเนินไปในลักษณาการแห่งความรู้สึก “ร่วม” มีความเป็นหนึ่งเดียว เปี่ยมด้วยความรักอันตรึงตรา ขณะเดียวกัน ที่เซียวเล้งนึ่งอำลาจากเอี้ยก่วยก็ด้วยเหตุผลแห่งความรัก

คราบน้ำตาบนสองไหล่ คราบน้ำตาบนพื้นโต๊ะ คือประจักษ์พยาน