รายงานพิเศษ / เมื่ออดีตพัดหวน สะกิดแผล ‘3 ป.’ การเมืองร้อน-โผทหารแรง ‘บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’ กลางกระแสข่าวลือ เมื่อ ตท.20 จ่อชิงปลัด กห.

รายงานพิเศษ

 

เมื่ออดีตพัดหวน

สะกิดแผล ‘3 ป.’

การเมืองร้อน-โผทหารแรง

‘บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’

กลางกระแสข่าวลือ

เมื่อ ตท.20 จ่อชิงปลัด กห.

 

ปฏิบัติการยิงเลเซอร์ ‘ตามหาความจริง’ ตามสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อพฤษภาคม 2553 นั้น พุ่งเป้ามาที่ “3 ป.” โดยเฉพาะ

และย่อมต้องการให้สะเทือนไปถึงบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่ครั้งนั้นเป็น ผบ.ร.11 รอ. รัง “ศอฉ.” ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตั้งที่ ร.11 รอ. บางเขน

ครั้งนั้น บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่เป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง

บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. และบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรอง ผบ.ทบ.

แต่ตอนนั้นใช้คำว่า กระชับพื้นที่ ขอคืนพื้นที่ ไม่ใช้คำว่า สลายการชุมนุม ที่ทำให้เกิดการสูญเสียถึง 99 ศพ ที่ฝ่ายผู้ชุมนุมเชื่อว่าเป็นกระสุนทหาร ในวันที่ปิดเมืองสลายม็อบ

แต่เพราะในเวลานั้นมีเสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เป็นแม่ทัพฝ่ายคนเสื้อแดงและมีกองกำลังชุดดำติดอาวุธ และเหตุการณ์ที่แยกคอกวัว 10 เมษายน 2553 ที่ทำให้ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ยศพันเอกในเวลานั้นเสียชีวิต และนายทหารระดับ ผบ.หน่วยหลายคนบาดเจ็บสาหัส จนทุกวันนี้สะเก็ดระเบิดยังอยู่ในร่างกาย เพราะตอนนั้นทหารได้รับคำสั่งไม่ให้ใช้อาวุธ

อีกทั้งเหตุการณ์ที่อาวุธและกระสุนทหารถูกผู้ชุมนุมปล้นยึดไปจากทหารจำนวนมาก จึงทำให้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันมาตลอด 10 ปี ว่ากระสุนทหารนั้นยิงโดยฝ่ายใด โดยเฉพาะกองกำลังชุดดำ

จนเป็นที่มาของการที่ต่างฝ่ายต่างใช้อาวุธ และทำให้กลางกรุงกลายเป็นทุ่งสังหาร

 

มาวันนี้ มี ศอฉ.เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อแก้ปัญหาเชื้อโควิด แต่ใช้ชื่อ ศบค. ที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผอ.ศบค.เอง โดยที่มีครบทั้ง 3 ป.อยู่ใน ศบค. และเป็นแกนหลักของรัฐบาล

จึงไม่แปลกที่คณะก้าวหน้าจะทำแคมเปญตามหาความจริงเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ถึงขั้นเล่นใหญ่ ฉายเลเซอร์ข้อความ แม้แต่กระทรวงกลาโหมที่เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพ ที่วันนี้มี พล.อ.ประยุทธ์เป็น รมว.กลาโหมอีกด้วย

พล.อ.ประยุทธ์จึงติติงว่าไม่เหมาะสม เพราะในเวลานี้ยังมีปัญหาโควิดอยู่ ไม่ควรเคลื่อนไหวเรื่องอื่น และเล็งเอาผิดว่าขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ กม.ปกติใด

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ที่เข้มข้นขึ้น เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ทำให้เกิดกังวลว่าการเมืองจะกลับมาวุ่นวายอีก

ในขณะที่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์และฝ่ายความมั่นคง ยังต้องการให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะหมด 31 พฤษภาคมนี้ออกไปอีก 1 เดือน เพราะสถานการณ์โควิดยังไม่น่าไว้วางใจ แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อน้อยลงจนบางวันเป็น 0 ก็ตาม เพราะจะต้องดูผลหลังการผ่อนปรนระยะ 2 ในการเปิดห้าง 17 พฤษภาคม ที่ต้องดูผล 14 วัน อาจมีการระบาดระลอก 2 ขึ้นได้

ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และปลุกกระแสต้านการต่ออายุ รวมทั้งต่อต้านการทำโพลของฝ่ายความมั่นคง ที่รัฐบาลจะนำมาเป็นข้ออ้างในการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

 

แม้ว่าศูนย์ประสานงานสำนักข่าวกรองแห่งชาติของ สมช. จะทำโพลสำรวจความเห็นประชาชนเป็นการภายใน มาทุก 2 สัปดาห์หลังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ตาม และเคยนำผลสำรวจที่ประชาชน 70% สนับสนุนการต่ออายุ พ.ร.ก.ครั้งแรกมาประกอบการพิจารณาของ สมช.มาแล้ว

เมื่อใกล้จะครบกำหนดต่ออายุ 31 พฤษภาคม ทาง สมช. และสำนักข่าวกรองฯ ก็เตรียมทำโพลอีกครั้ง โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องสั่ง แต่ขอให้ กอ.รมน.ช่วยแจกจ่าย ส่งต่อแบบสอบถามไปยังเครือข่ายมวลชน

แต่ข่าวกลับออกมาว่า นายกฯ สั่ง กอ.รมน.ทำโพล จนปลุกกระแสต้าน จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องยืนยันว่าไม่เคยสั่งการให้ทำโพล แต่ก็อ้างโพลของสื่อเองที่ประชาชนสนับสนุนต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก

จนทำให้ถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์และฝ่ายทหารยังต้องการให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หวังผลเพื่อคุมความเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย ที่คาดว่าจะเจอกระแสต้านแรงขึ้น

หลังหมดโควิด การเมืองจึงยิ่งรุนแรงขึ้น แถมมีปัญหาในพรรคพลังประชารัฐที่รออยู่

แถมยังเป็นช่วงกองทัพเตรียมผลัดใบครั้งใหญ่ ที่ย่อมต้องเกิดแรงกระเพื่อมจากการชิงเก้าอี้ที่ยังไม่ชัดเจนลงตัวด้วย

 

โดยเฉพาะความแรงของบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมในการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ที่ตอนนี้ ผบ.เหล่าทัพกำลังเริ่มจัดโผกันแล้ว

โดยเฉพาะกระแสข่าวที่ พล.อ.ณัฐพลจะข้ามไปเสียบเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในโยกย้ายครั้งนี้แรงมาก

ด้วยเหตุที่ พล.อ.ณัฐพลถูกมองว่าเป็นนายทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ไว้วางใจถึงขั้นเรียกตัวจากกองทัพบกมาช่วยงาน ศบค. ที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงโควิด

และส่งผลให้บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร รุ่นน้อง ตท.21 ที่ถูกวางตัวไว้ อาจต้องรอไปก่อน 1 ปี

แต่ก็เกิดกระแสข่าวลือสะพัดว่า บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ที่จะเกษียณราชการ จะเสนอให้ พล.อ.เฉลิมพลกลับไปเป็น ผบ.ทบ. เพราะหาก พล.อ.ณัฐพลข้ามมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด จะทำให้มีนายทหารจาก ทบ.มาอยู่ บก.ทัพไทยเกินโควต้า จนเป็นที่มาของกระแสข่าวลือว่า พล.อ.เฉลิมพลจะข้ามกลับมาเป็น ผบ.ทบ.

ความจริงกระแสข่าวนี้เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนยุคโควิดด้วยซ้ำ ด้วยเหตุที่ต้องหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับ พล.อ.ณัฐพล ที่เป็นรอง ผบ.ทบ.มา 2 ปี และครองอาวุโสอัตราจอมพลถึง 2 ปี แต่ทว่าไม่มีตำแหน่งว่าง เพราะปลัดกลาโหมยังไม่เกษียณ ส่วน ผบ.ทหารสูงสุดก็วางตัว พล.อ.เฉลิมพลไว้แล้ว

โดย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญ เพราะ พล.อ.เฉลิมพลเป็นเพื่อนรุ่นน้อง ตท.21 และทำงานให้มาตั้งแต่ยุค คสช. ตั้งแต่ พล.อ.เฉลิมพลเป็น ผบ.พล.ม.2 รอ. จนเป็นเจ้ากรมยุทธการ ทบ. รอง เสธ.ทบ. จนเป็น พล.อ. ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. แล้วส่งข้ามจาก ทบ.ไปเป็นเสธ.ทหาร จ่อคิวเป็น ผบ.ทหารสูงสุด อย่างที่รู้กัน

แต่ข่าวเรื่องที่ พล.อ.เฉลิมพลจะข้ามมาเป็น ผบ.ทบ. เกิดขึ้นอีกครั้งในตอนนี้ เพราะเหตุที่มีความเป็นไปได้ที่ พล.อ.ณัฐพลจะข้ามไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด แล้วสลับให้ พล.อ.เฉลิมพลกลับมาเป็น ผบ.ทบ. เพราะก็เป็นทหารคอแดง และทำงานใน ฉก.ทม.รอ.904 ที่ พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904

ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ไปพบพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์เมื่อสัปดาห์ก่อน

แต่ก็มีรายงานว่า พล.อ.อภิรัชต์บอกกับนายทหารใกล้ชิดว่า เป็นแค่ข่าวลือในยุคโซเชียล

 

ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่ามีสัญญาณไฟเขียวให้มีการวางตัวบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. ไว้เป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์เกษียณ 30 กันยายนนี้

แม้ว่า พล.อ.อภิรัชต์อาจจะมองว่า พล.อ.เฉลิมพลเหมาะกับสถานการณ์มากกว่าก็ตาม

แต่ทั้ง พล.อ.เฉลิมพล ตท.21 และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ตท.22 มีอายุราชการถึงกันยายน 2566 พร้อมกัน จึงต้องแยกกันโต

แต่ก็เกิดกระแสข่าวให้ พล.อ.เฉลิมพลข้ามมาเป็น ผบ.ทบ. 1 ปี แล้วค่อยข้ามไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เปิดทางให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ขึ้น ผบ.ทบ.ในตุลาคม 2564

ทั้งนี้ เพียงเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้ พล.อ.ณัฐพล รอง ผบ.ทบ. น้องรักบิ๊กตู่ ที่จากความสามารถและผลงาน มาตลอดตั้งแต่ยุค คสช.จนปัจจุบัน ที่นายกฯ เรียกตัวมาช่วยงานที่ ศบค.ทำเนียบ และยังให้เป็นรองประธานคณะกรรมการมาตรการผ่อนปรนฯ ที่มีเลขาฯ สมช.เป็นประธาน. จึงทำให้ถูกมองว่าต้องมีตำแหน่งสำคัญในกองทัพ

แถมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่ดูแลลูกน้อง หากใช้งานใครมากๆ ก็จะแต่งตั้งเป็นตำแหน่งต่างๆ นี่หาก พล.อ.ณัฐพลยอมลาออกก่อนเกษียณกันยายน 2564 มารับตำแหน่งทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ก็พร้อมที่จะทำ

 

แน่นอนว่ากระแสข่าวเช่นนี้ย่อมทำให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ไม่สบายใจนัก แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ยังไม่ได้บอกอะไร เพราะหากจะมีการเปลี่ยนแปลง พล.อ.อภิรัชต์ก็ต้องบอก เพราะส่วนตัวก็สนิทสนมกันมายาวนาน เพราะเติบโตมาใน พล.1 รอ. และกองทัพภาคที่ 1 ด้วยกัน ลงไปอยู่ชายแดนใต้ด้วยกันและผ่านสมรภูมิการเมืองมาด้วยกัน

จนมาตอนนี้ ช่วยงาน ฉก.ทม.รอ.904 ด้วยกัน พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 อีกด้วย

พล.อ.ณรงค์พันธ์ถือเป็นนายทหารที่มีความเด็ดขาด ไม่ค่อยพูด แต่จะแข็ง ที่อาจทำให้ไม่ฟัง พล.อ.อภิรัชต์ในอนาคตหรือไม่

แต่จุดยืนเรื่องการปกป้องสถาบันนั้น 100% โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ได้วางตัวบิ๊กโต้ง พล.อ.อภินันท์ คำเพราะ ที่ข้ามจากกลาโหม มาเป็นหัวหน้าสำนักงาน ผช.ผบ.ทบ. เพื่อเตรียมเป็น เสธ.ทบ. และเลขาธิการ กอ.รมน. เพื่อคุมงานความมั่นคง การปกป้องสถาบันไว้แล้ว

กระแสข่าวนี้จึงทำให้โผโยกย้ายทหารใหญ่ครั้งนี้ ที่จะมีการเปลี่ยนทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. คนใหม่นั้น น่าจับตามองอยู่แล้วจะยิ่งเข้มข้น

 

กระทรวงกลาโหมก็เข้มข้น แม้ว่าบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหมจะยังไม่เกษียณ

แต่ก็เตรียมวางตัวนายทหารที่จะขึ้นมาเป็นปลัดกลาโหมคนต่อไปในตุลาคม 2564

ที่คาดกันว่าจะได้เห็นความชัดเจนในโผโยกย้ายใหญ่กันยายนนี้

เพราะระดับรองปลัดกลาโหมจากทุกเหล่าทัพเกษียณราชการกันหมด เหลือแต่บิ๊กเฒ่า พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ตท.20 แถมมีอายุราชการถึงกันยายน 2565 ถือว่าเป็นแคนดิเดตตำแหน่งปลัดกลาโหม เพราะถือว่าอาวุโส ครองอัตราจอมพลแล้ว

แต่เพราะเก้าอี้ปลัดกลาโหมถูกเหล่าทหารบกยึดโควต้ามานานเกือบ 30 ปีแล้ว ยากที่ทหารเรือจะได้นั่งเป็นปลัดกลาโหม

ทั้งนี้ เคยมีปลัดกลาโหมที่ไม่ใช่เหล่าทหารบก คือ บิ๊กตึ๊ง พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐ์ ตั้งแต่เมื่อปี 2535 เลยทีเดียว

จากนั้น รองปลัดกลาโหมที่เป็นทหารบก ทั้งที่โตมาจากในสำนักปลัดกลาโหมเอง และที่ส่งมาจาก ทบ. มักจะได้เป็นปลัดกลาโหม

แม้จะมีรองปลัดกลาโหมถึง 4 คน ก็เป็นเหล่าทหารบก 2 คน ทหารเรือ 1 คน และทหารอากาศ 1 คน

สมัยก่อนมักจะยึดตัวเลขโควต้า 2:1:1 คือ ทบ.:ทร.:ทอ. เพราะทหารบกมีจำนวนมากกว่า ทั้งใน ทบ. กองบัญชาการกองทัพไทย และกลาโหม

แต่ในที่สุด ด้วยบทบาทพลังอำนาจแฝงทางการเมือง ที่ทหารบกมักจะคุมอำนาจในทางการเมือง รวมทั้งการนำปฏิวัติรัฐประหารมาตลอด และเป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จึงทำให้เหล่าทหารบกได้โควต้าเสมอๆ ทั้งปลัดกลาโหม และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด

รวมถึง พล.อ. ที่ข้ามมาจาก 5 เสือ ทบ. มาเป็นปลัดกลาโหม จนในบางครั้งทหารบกก็ขัดกันเอง ว่าจะให้ทหารบก “คนใน” กลาโหม ขึ้นเป็นปลัดกลาโหม หรือจะให้ “คนนอก” จาก ทบ.ข้ามมา แต่ก็ควรจะให้ พล.อ. ที่ครองอัตราจอมพล ข้ามมาเป็นปลัดกลาโหมได้ ไม่ควรให้ พล.อ. ธรรมดา

หรืออย่างน้อย ถ้า ทบ.จะให้ใครเป็นปลัดกลาโหม ก็ควรส่งมาเป็นรองปลัดกลาโหมก่อน 1 ปี เหมือนเช่นที่ ทบ.ส่งนายทหารใน 5 เสือ ทบ. ไปเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด หรือเสนาธิการทหาร ที่ บก.ทัพไทยก่อนเพื่อเตรียมขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด

ไม่ใช่การข้ามห้วยจาก ทบ.มาเสียบยอดเป็นปลัดกลาโหม หรือ ผบ.ทหารสูงสุดเลย เพราะจะทำให้ทั้ง 2 ตำแหน่งนี้ถูกมองว่า ไว้รองรับคนอกหักพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ. หรือใช้ 2 เก้าอี้นี้ในการแก้ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายใน ทบ.

แต่ในที่สุดหลักการนี้ก็เงียบหายไป เพราะ ทบ.ส่ง ผช.ผบ.ทบ.ยศ พล.อ. ข้ามมาเป็นปลัดกลาโหมคนแล้วคนเล่า เช่น พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์

มาตอนนี้ ก็คาดกันว่าทหารบกก็คงยึดโควต้าปลัดกลาโหมเช่นเดิม เพราะมีข่าวสะพัดว่า ปลัดกลาโหมคนต่อจาก พล.อ.ณัฐ ที่เกษียณกันยายน 2564 จะเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 20 ที่ยังไม่เกษียณ

โดยจับตาไปที่บิ๊กหน่อย พล.ท.วรเกียรติ รัตนานนท์ รองเสนาธิการทหารบก เพื่อนคนสุดท้องของรุ่น ที่เกษียณกันยายน 2565 เลยทีเดียว

พล.ท.วรเกียรติ รัตนานนท์

พล.ท.วรเกียรติเติบโตมาในฝ่ายอำนวยการ หรือสายบุ๋น ในสายกรมข่าวทหารบก เพราะเคยเป็น ผช.ทูตทหารบก ประจำออสเตรเลีย

ที่สำคัญ ถือเป็นนายทหารคนเก่งของ ตท.20 และสมัยเรียนก็เป็นหัวหน้านักเรียนด้วย จึงเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ

อีกทั้ง พล.อ.ณัฐก็สนับสนุนให้ พล.ท.วรเกียรติมาเป็นปลัดกลาโหมต่อ

ดังนั้น ในโผโยกย้ายกันยายนนี้ คาดว่า พล.ท.วรเกียรติจะขึ้นเป็น พล.อ. ใน 5 เสือ ทบ. เพื่อที่จะขยับข้ามไปเป็นปลัดกลาโหมในการโยกย้ายปลายปี 2564

เพราะหากให้ข้ามไปกลาโหมในกันยายนนี้ก็จะต้องไปเป็น พล.อ. เสียก่อน แต่ยังเป็นรองปลัดกลาโหมเลยไม่ได้ เพราะจะต้องเป็น พล.อ. แล้วจึงจะนั่งรองปลัดกลาโหม ที่เป็นอัตราจอมพลได้

ดังนั้น ทางลัดคือขึ้น พล.อ. 5 เสือ ทบ. แล้วข้ามมาเสียบยอดในโยกย้ายตุลาคม 2564

นั่นหมายถึง พล.ร.อ.สมประสงค์ที่อาวุโสยศกว่า อาจจะต้องย้ายกลับ ทร. และถือเป็นแคนดิเดต ผบ.ทร.ในเวลานั้นด้วย แม้โอกาสจะได้เป็น ผบ.ทร.น้อยก็ตามที

หรืออาจเป็นรองปลัดกลาโหมต่อไปก็ได้ เพราะเป็นเพื่อนเตรียมทหาร 20 ของ พล.ท.วรเกียรติเช่นกัน เพียงแต่จะอาวุโสการครองยศมากกว่า

 

และที่มองข้ามช็อต คือปลัดกลาโหมคนต่อไป หลังจากที่มีปลัดกลาโหมมาขัดตาทัพแล้ว คาดว่าบิ๊กหนุ่ม พล.ท.สนิธชนก สังขจันทร์ ผบ.ศอว.กลาโหม ก็จะได้เตรียมขยับขึ้นปลัดกลาโหม

พล.ท.สนิธชนก เตรียมทหาร 24 ลูกเลิฟของ พล.อ.ประวิตร และน้องรักของ พล.อ.ณัฐ ถูกวางตัวให้เป็นปลัดกลาโหมในอนาคตอันใกล้

คาดว่าที่ต้องรีบดันขึ้นเป็น พล.อ. ในโผโยกย้ายตุลาคมนี้ แล้วขยับขึ้นรองปลัดกลาโหมในปลายปี 2564 เพื่อจ่อเป็นปลัดกลาโหมต่อจาก พล.ท.วรเกียรติ

กรณีของ พล.ท.สนิธชนกก็น่าศึกษา เพราะจากที่เป็นนายทหารดาวรุ่งใน ทบ.คนหนึ่ง แต่การเปลี่ยนแปลงใน ทบ. หลังการตั้ง “ฉก.ทม.รอ.904” และมี “ทหารคอแดง”

พล.ท.สนิธชนกจึงเปลี่ยนเส้นทางรับราชการจาก ทบ. จากรอง ผบ.นรด. ย้ายมากลาโหม เพื่อแยกวงมาเติบโต

เพราะใน ทบ.มีเพื่อน ตท.24 อย่างรองอ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นความหวังของรุ่น ในการชิงเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.ในอนาคตอยู่แล้ว

พล.ท.สนิธชนกมีอายุราชการถึงกันยายน 2568 เลยทีเดียว หากขึ้นปลัดกลาโหม จะนั่งนานถึง 3 ปี

ทั้งนี้เพราะการที่ พล.อ.ณัฐมีอายุราชการนานถึง 2564 จึงทำให้ทั้งเพื่อน ตท.20 และรุ่นใกล้เคียง ตท.21-23 ในกลาโหมเกษียณราชการหมด หนทางจึงถูกเปิดสำหรับ พล.ท.สนิธชนก ที่ก็ถือเป็นคนเก่งของ ตท.24

            กองทัพก็ส่อเค้าจะยุ่งๆ จากการแต่งตั้งโยกย้าย การเมืองก็ส่อแวววุ่นวาย เช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์รวมทั้งพี่น้อง 2 ป. คงต้องเตรียมรับมือทั้งศึกในและศึกนอกเลยทีเดียว