ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 พฤษภาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
ในประเทศ
ฉุก
เฉินนนน…
มีการคาดหมายว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการมากที่สุดตอนนี้
ไม่พ้นเรื่องการดำรง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่จะหมดอายุสิ้น 31 พฤษภาคมนี้ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เพราะด้านหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลคงเห็นว่า อำนาจ “เต็มไม้เต็มมือ” จาก พ.ร.ก.ดังกล่าวหากทำภารกิจการป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 สำเร็จ
รัฐบาลก็จะได้รับการยกย่องจากทั้งในและนอกประเทศ ว่าเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา
เกียรติภูมิก็จะตกอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์เต็มๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ในทางการเมือง การที่อำนาจถูกดึงโดย พ.ร.ก.ให้มาอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์เต็มๆ
ทำให้ที่ผ่านมา สามารถใช้กลไกข้าราชการประจำ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ถนัดและคุ้นเคย ควบคุมและบริหารอำนาจได้โดยเบ็ดเสร็จ
ลดอำนาจและแรงกดดันจากฝ่ายนักการเมืองลงได้อย่างชะงัด
สภาวะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ย่อมอยากให้ดำรงสืบไป
โดยเฉพาะห้วงหลังจากวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ที่จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญ
ซึ่งประเมินว่าจะมีประเด็นการเมืองเข้ามาก้าวก่ายการบริหาร
ทำให้อำนาจการนำถดถอยลง แถมยังจะถูกต่อรองขอแบ่งปันอำนาจจากฝ่ายการเมืองไป
อันจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ยากในการบริหารมากขึ้น
แต่ถ้ามี พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุมอยู่ ย่อมบรรเทาภาวะดังกล่าวลง และทำให้ดูแล “การเมือง” ง่ายขึ้น
อาจจะสยบกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ที่จะมีนักการเมืองบางกลุ่มออกมาเรียกร้องอีกครั้ง เพื่อกระจายโควต้าของมุ้งการเมืองในห้วงทำงานครบรอบ 1 ปี
นี่จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์อยากให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินดำรงอยู่
แต่กระนั้น ในภาวะที่สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 คลายลง
รวมทั้งประชาชนจำนวนมากต้องการให้ผ่อนคลายการประกอบธุรกิจหลายประเภทลง เพื่อคลายวิกฤตเศรษฐกิจ
กระแสการเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงมีสูงมากขึ้น
แม้ภาครัฐมีความต้องการจะควบคุมสถานการณ์ไว้ก่อน ด้วยข้ออ้างว่าเพราะไม่มั่นใจว่าจะมีการระบาดซ้ำรอบ 2
แต่กระนั้น กระแสให้ผ่อนคลายก็ทวีขึ้นตามลำดับ
จนรัฐบาลต้องหาเหตุผล และหาข้ออ้างอันชอบธรรม ที่จะตรึงอำนาจของตนเองไว้
นี่จึงเป็นที่มาของกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.)
สั่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ภายหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากกว่า 1 เดือน เพื่อดูผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน
รวมถึงขอความคิดเห็นว่า เห็นควรให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือยกเลิก เพื่อเป็นแนวทางให้ ศบค.ตัดสินใจ
โดยมีเสียงสะท้อนมาจากสังคมในหลายความคิดเห็น
- ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ลดลงตามลำดับและอยู่ในความสามารถของเจ้าหน้าที่ที่จะควบคุมได้
- ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ยังไม่อยากให้นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
- ให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ก่อน เพราะห่วงจะมีการระบาดของ COVID-19 อีกรอบ แต่ขอให้ผ่อนคลาย เช่น ยกเลิกประกาศเคอร์ฟิว หรือขยายเวลาเคอร์ฟิว จากเดิม 22.00-04.00 น. อาจจะเป็น 23.00-04.00 น.
โดยตามกระแสข่าวระบุว่า พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เสนาธิการทหารบก ในฐานะ เสธ.กอ.รมน. จะเป็นผู้พิจารณาเนื้อหาแบบสอบถามประชาชน
ทั้งนี้ เมื่อเช้าวันที่ 11 พฤษภาคม Pages Facebook “ลุงตู่ตูน” เพจที่สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก็ได้ขานรับทันที
มีการเผยแพร่ข้อความรวมทั้งรูปแบบโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
โดยเนื้อหาในเพจดังกล่าวมีข้อความว่า “ร่วมส่งแบบสอบถาม ร่วมพิชิตโควิด-19 ไปด้วยกัน โดยการสแกนคิวอาร์โค้ดแล้วเข้าไปทำแบบสอบถาม โดยแฮชแท็ก #ลุงตู่ #ลุงตู่ตูน #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ”
อันสะท้อนให้เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวขานรับเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
แทบจะทันทีที่เรื่องนี้กระจายสู่สาธารณะ
เกิดคำถามและคำวิจารณ์จากหลายๆ ฝ่ายเช่นกัน
โดยเฉพาะฝั่งฟากการเมือง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะฝ่ายค้าน หากแต่ยังมีพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามถามนายกฯ ว่าทำไมถึงให้ กอ.รมน.ทำโพล จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะได้ผลที่เป็นธรรม เป็นไปตามหลักวิชาการ
หรือให้ กอ.รมน.ทำโพลเป็นเพียงพิธีกรรม เพื่อนายกฯ จะอ้างผลโพลนี้เป็นความชอบธรรมในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้หรือไม่
“สถานการณ์ล่าสุดของไทยถือว่าดีขึ้นมาก สถิติผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่เลขหลักเดียวมาเป็นสัปดาห์แล้ว ผู้ป่วยสะสมลดน้อยลง ไม่มีเหตุผลที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้
เรายังมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ ที่ใช้ในการควบคุมโรคได้อยู่ ใช้กำหนดมาตรการต่างๆ ได้อย่างมียุทธศาสตร์ ไม่ใช่การใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หมดยุคใช้อำนาจเผด็จการแก้ปัญหาแล้ว” นายวิโรจน์ระบุ
ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประชาชนไม่มั่นใจ กอ.รมน. ว่าจะมาทำโพล หรือทำไอโอกับประชาชนกันแน่
กอ.รมน.ถูกตั้งคำถามมาตลอดว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของนายกฯ
การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้เป็นการกระชับอำนาจ ตัดตอนรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาล ป้องกันไม่ให้ประชาชนเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ยิ่งคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้นานเท่าไหร่
พล.อ.ประยุทธ์ยิ่งได้ประโยชน์
ฟากฝั่งรัฐบาล นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเรื่องนี้มีวาระซ่อนเร้นก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า สำรวจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้มีอำนาจ หรือเพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าเอาผลการสำรวจมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจแก้ไขปัญหาโควิด-19 จะทำให้เกิดปัญหาใหม่ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองทับซ้อนปัญหาเก่าเพิ่มขึ้นอีก
“การให้ กอ.รมน.สำรวจอาจไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม อาจถูกมองว่ารับงานเพื่อสนองความต้องการของนายกฯ เพื่อผลทางการเมือง จึงควรหาหน่วยงานทางวิชาการทำการสำรวจ และควรคิดหาเครื่องมือที่สร้างการยอมรับได้ ให้ได้มาตรฐานทางวิชาการ เพื่อได้ผลที่ไม่บิดเบี้ยว
ขอฝากนายกฯ ให้พิจารณาทำสำรวจกรณีนี้ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส ไร้การแอบแฝง เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นผลการสำรวจ และเป็นประโยชน์ในการทำงานสู้ภัยโควิด-19 อย่างแท้จริง” นายองอาจกล่าว
สอดคล้องกับนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า จะมาทำโพลให้สิ้นเปลืองงบประมาณและเสียเวลาทำไม รัฐบาลควรจะแยกแยะ เรียงลำดับความสำคัญให้ได้ว่า เรื่องใดบ้างที่ควรรับฟังความเห็นของประชาชนโดยตรง หรือทางอ้อม ที่ผ่านมามี ส.ส.หลายคนออกมาแสดงความเห็นที่ดี มีข้อเสนอและให้คำแนะนำต่อรัฐบาลมากมาย
แต่รัฐบาลไม่ได้รับฟังความเห็นและนำไปปฎิบัติเลย
เพราะถูกรุมต้านดังกล่าวหรือไม่
ไม่ทราบ
แต่เพียงข้ามวัน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ได้ออกมาชี้แจงถึงการทำโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ต่อการต่ออายุ หรือยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า
- พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้สั่งการ หรือมีนโยบายให้ทำโพลสำรวจความคิดเห็นในเรื่องนี้
- สมช.ไม่ได้สั่งการให้ กอ.รมน.ทำโพลสำรวจความคิดเห็นในเรื่องการต่ออายุ หรือยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ แต่อย่างใด
- ในการพิจารณาว่าจะต่ออายุ หรือยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 31 พฤษภาคมนี้ หรือไม่นั้น ให้เป็นไปตามสถานการณ์ด้านสาธารณสุข สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด เป็นสำคัญ ไม่ใช่ยึดจากโพลการสำรวจความคิดเห็น
เช่นเดียวกับเพจ “ลุงตู่ตูน” ซึ่งเผยแพร่ข้อความรวมทั้งรูปแบบโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “ขอชี้แจงการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะพิจารณาข้อมูลจากสาธารณสุขเป็นหลัก #ลุงตู่ #ลุงตู่ตูน #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ”
พร้อมกับจบเรื่องลงเฉยๆ
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธเช่นกัน
โดยบอกว่า การจะต่ออายุ พ.ร.ก. หรือไม่นั้น อยู่ที่การพิจารณาของ ศบค.
ต้องคำนึงถึงมาตรฐานในการด้านสาธารณสุขเป็นหลัก
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีผลสำรวจความคิดเห็น หรือโพลของใครทำมาก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องของโพลไป
“เท่าที่ทราบก็มีสื่อบางสำนักได้ทำในขณะนี้ ทราบว่ามีผู้เห็นชอบให้ต่ออายุของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 88% และมีผู้ไม่เห็นชอบให้ยกเลิก 12% จึงขอย้ำอีกครั้งว่า เรื่องนี้เป็นการทำของสื่อ ผมไม่ได้ทำทั้งสิ้นและไม่ได้สั่งการให้ใครไปทำ ข่าวที่ออกมาอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
สร้างความมึนงงให้กับสังคมพอสมควร ถึงการกลับไปกลับมาดังกล่าว
ซึ่งก็พบบ่อยครั้ง ในห้วงที่รัฐบาลและ ศบค.เผชิญวิกฤต
แต่ก็น่าสังเกตเรื่องนี้มีการถอย หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก
โดยดูท่าทีแล้ว ในกรณีนี้ฝ่ายปฏิบัติก็รับกรรมไปตามระเบียบ
ส่วนฝ่ายนโยบายก็ลอยตัวสบายๆ
แต่ก็อยากให้พิจารณาท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์
นั่นคือ ถึงจะบอกว่าไม่ได้สั่งให้ทำโพล แต่ก็โยนไปให้ “สื่อบางสำนัก” ว่าได้ทำโพลในเรื่องนี้
แถมเน้นผลสำรวจให้เสียด้วยว่าให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ออกไปถึง 88%
การที่พ่วงประเด็นนี้ทั้งที่บอกไม่ได้ทำโพลนั้น
ก็อดทำให้หลายคนคิดไม่ได้ว่า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ขับเน้นประเด็น “ให้ต่อ พ.ร.ก.” นี้
สะท้อนความต้องการในใจอย่างปิดไม่มิดนั่นเอง
คืออยากให้ฉุกเฉินนนน…
ยาวๆ นานๆ