วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / ในเมื่อรักกัน ไฉนไม่มา ไม่มา (44)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ในเมื่อรักกัน ไฉนไม่มา ไม่มา (44)

ระหว่างรับฟัง “เรื่องเล่า” อันเสมือนกับเป็น “นิทาน” แววตาเซี่ยตงทอประกายลึกล้ำ ถอนหายใจแผ่วเบา มิได้เอ่ยวาจา

เบื้องหน้าคล้ายปรากฏภาพเมื่อครั้งที่ตัวเองตามทัพลงใต้

เห็นเหนือกำแพงเมืองยืนเด่นด้วยสาวน้อยคนหนึ่ง สีหน้าเด็ดเดี่ยว บนร่างสวมทับด้วยชุดเกราะ แม้ปฏิบัติภารกิจทูตส่งอธรรมนานหลายปี แต่หลังจากผ่านประสบการณ์ร่วมทุกข์ร่วมฝ่าฟันในครั้งนั้น ความรู้สึกที่มีต่อสตรีผู้ไม่ยอมแพ้คนนี้

มีเพียง “เลื่อมใส” 2 คำ

หากมิใช่เพราะความทุกข์ระทมแห่งหนี้โลหิตขวางกั้นไว้ มิตรภาพระหว่างทูตส่องอธรรมเซี่ยตงกับหนีหวงจวิ้นจู่ 2 สตรีผู้ห้าวหาญสมควรร้อนระอุไม่ด้อยไปกว่าบุรุษที่คบหาเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย

ย้อนกลับมายังรายละเอียดอันปรากฏผ่าน “นิทาน” จากการเล่าของเหมยฉางซู

เซี่ยตงรับฟังพลางครุ่นคิดตาม ในใจอดรู้สึกโมโหไม่ได้ ในเมื่อต่างฝ่ายมีความรู้สึกที่ดีเช่นนั้น ครั้งนี้จวิ้นจู่ประกาศจัดงานเลือกคู่อย่างครึกโครม สำหรับคนหนุ่มนั้นถือเป็นโอกาสบรรลุความปรารถนาในใจตัวเองแต่กลับมิได้ปรากฏตัวเห็นชัดว่ามิได้มีใจภักดีแต่แรก

เซี่ยตงมีนิสัยชอบผดุงความยุติธรรมมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวิ้นจู่ ไหนเลยไม่โกรธได้ จึงถามด้วยสีหน้าตึงเครียด

“คนผู้นั้นเป็นใคร เวลานี้อยู่ที่ใด”

 

เหมยฉางซูมิได้ตอบคำถามนางโดยตรง ก้มหน้าลงกึ่งหนึ่ง ยังคงเล่านิทานต่อไปด้วยน้ำเสียงไม่เร่งไม่รีบ เพียงแต่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหม่นหมองลง

“วันหนึ่ง หลังจากครึ่งปีนั้นชายหนุ่มก็จากไปโดยไม่กล่าวลา

ทิ้งไว้แค่จดหมายฉบับหนึ่ง บนนั้นเขียนว่า ‘ในพรรคเรียกประชุมต้องรีบเดินทางกลับ’ จวิ้นจู่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟที่เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา

จึงฉีกจดหมายทิ้ง ทั้งมีคำสั่งห้ามมิให้ไล่ตามไป แต่น้องชายของนางไม่ยอมแพ้ จัดส่งยอดฝีมือสืบเสาะตลอดทาง

มิคาดร่องรอยของคนผู้นั้นไปถึงเมืองถูโจวพลันหายสาบสูญไปจนหมดราวกับวัวดินเหนียวตกน้ำ

จากนั้นก็ไม่มีเบาะแสให้ติดตามอีก

เซี่ยตงเป็นคนประสาทสัมผัสไวถึงปานไหนพลันจับจุดได้ในพริบตา ‘ถูโจวอยู่ในเขตลุ่มน้ำบูรพา 14 เมืองแถบนั้นนอกจากพรรคบูรพานทีหรือยังมีค่ายพรรคอันดับ 2′”

เหมยฉางซูมิได้ยอมรับ และมิได้ปฏิเสธ ยังคงกล่าวต่อ

“จากนั้นผ่านไปอีก 1 ปี จวนผู้บัญชาการทหารยังคงไม่มีข่าวคราวของชายหนุ่มคนนั้น จวิ้นจู่แม้เงียบงันไม่พูดถึง ทว่าทุกคนในจวนต่างรู้สึกว่าคนผู้นี้ใจคอคับแคบ ไม่มีใครเข้าใจและให้อภัย

ยามนั้นพอดีน้องชายของจวิ้นจู่ครบกำหนดอายุสืบทอดตำแหน่งหวัง ราชสำนักจงใจประกาศเรื่องการเลือกคู่ของจวิ้นจู่อย่างเปิดเผยโดยสอบถามความเห็นของนางก่อน ทุกคนเข้าใจว่าด้วยอุปนิสัยหยิ่งทระนงของจวิ้นจู่คงไม่ยินดียอมรับวิธีการเลือกคู่อย่างเปิดเผยเช่นนี้

แต่คิดไม่ถึง นางกลับเพียงเพิ่มเงื่อนไขไม่กี่ข้อ จากนั้นก็ตกปากรับคำ”

ได้ยินเช่นนั้น เซี่ยตงสะทกสะท้อนใจจนอดถอนหายใจมิได้ กล่าวด้วยสีหน้าซึมเซา “สตรีงมงายในรักยังสาหัสกว่าบุรุษมากนัก นางแม้ภายนอกแลดูปกติ แต่ภายในจิตใจอย่างไรยังคงคาดหวังให้ชายหนุ่มคนนั้นอาศัยโอกาสนี้รุดมาเข้าร่วมคัดเลือก”

เหมยฉางซูก้มหน้าไม่ตอบ แววตาเปล่าเปลี่ยว วังเวง นิทานเล่าถึงตรงนี้นับว่าดำเนินถึงกลางเรื่อง เหลือแต่ฉากจบในอนาคต

ที่ไม่ทราบว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

 

ระหว่างที่ทั้ง 2 สนทนา เมฆครึ้มดำจากปลายฟ้าได้คลี่คลุมมืดมิดขึ้นทุกที คล้ายหิมะกำลังจะร่วงโรย สายลมโพล้เพล้พัดหวีดหวิว

เซี่ยตงวางถ้วยน้ำ ลุกเดินไปที่ริมศาลา

ทอดสายตาเหม่อมองไกลโพ้น ภายใต้หมู่เมฆดำทะมื่นที่เด่นชัดกลางม่านฟ้ารูปร่างสูงตระหง่านยิ่ง แลดูสะโอดสะอง ใบหน้าพราวเสน่ห์ปราศจากความรู้สึก คล้ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ ทั้งคล้ายกำลังหายใจรดทิ้งมิได้ขบคิดสิ่งใด

ทว่าความสงบก่อนพายุฝนมาเยือนมักไม่ยาวนาน เพียงชั่วอึดใจนางก็สูดหายใจลึกคราหนึ่ง หมุนกายกลับมา ดวงตาเจิดจ้าทอประกายร้อน

จับจ้องไปที่เหมยฉางซู น้ำเสียงยิ่งดุดันถึงที่สุด

“ในเมื่อท่านรู้จักนิทานเรื่องนี้ เช่นนั้นสามารถบอกข้าได้หรือไม่ ในเมื่อรักกัน เขาไฉนไม่มา”

“ไฉนไม่มา” เหมยฉางซูยิ้มขื่น สีหน้าขาวจืดดังหิมะ ดวงตาปิดลงช้าๆ พึมพำกับตัวเอง “คำพูดนี้ท่านถามข้าได้ แต่ข้า ข้าจะถามเขาได้อย่างไร”

ในเมื่อรักกัน ไฉนไม่มา ไฉนไม่มา

 

หญิงสาวคนนั้นเป็นหนีหวงจวิ้นจู่อย่างแน่นอน เป็นหนีหวงจวิ้นจู่อย่างแน่ชัด ระบุเป็นแม่ทัพแดนใต้ ระบุความเข้มแข็ง

คำถามก็คือ “หนุ่มคนนั้น” เป็นใคร เป็น “เหมยฉางซู” หรือไม่