อนุสรณ์ ติปยานนท์ : โทโกโรโก้

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (29)
เรื่องเล่าจากเหมืองเกลือบทที่เจ็ด

“ในวันที่ 14 สิงหาคม ปี 1980 มีการประท้วงเรื่องราคาอาหารที่เมืองท่ากดั้นสค์ ชายคนหนึ่งปีนข้ามรั้วกั้นขึ้นไปพูดปลุกใจสหภาพแรงงานที่นั่น การประท้วงขยายตัวจากเมืองท่ากดั้นสค์ไปสู่เมืองอื่นๆ ทั่วประเทศโปแลนด์ ในวันที่ 31 สิงหาคม รัฐบาลโปแลนด์ซึ่งเป็นรัฐบาลสังคมนิยมได้ทำการเจรจาและยินยอมให้การประท้วงดำเนินไปอย่างถูกต้อง มีการจัดตั้งสหภาพการค้าหรือโซลิดาริตี้ (Solidarity) ชายผู้นั้นซึ่งมีนามว่า เลค วาเลซ่า ได้เป็นเลขาฯ คนแรกของสหภาพที่ว่า และภายในเวลาไม่กี่เดือน สหภาพมีสมาชิกถึงสิบล้านคน อันเป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ของประชากรภายในประเทศโปแลนด์…”

เขาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เธอฟังระหว่างทาง เรื่องที่เขาเคยอ่านผ่านตา ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศโปแลนด์หลังการเปลี่ยนผ่านจากประเทศสังคมนิยมสู่ประเทศเสรีประชาธิปไตย ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ที่มีผู้นำเป็นประธานาธิบดีคนแรกนามเลค วาเลซ่า

ประวัติศาสตร์ที่เริ่มจากเมืองท่าที่พวกเขากำลังจะไปเยือน

การเดินทางในยุโรปทำให้เขาพบว่าประวัติศาสตร์ของประเทศในยุโรปล้วนเกี่ยวข้องกับเมืองท่าของตนเอง ก่อนการมาถึงของเครื่องบิน ก่อนการมาถึงของสิ่งประดิษฐ์จากพี่น้องตระกูลไรท์ เรือและเมืองท่าคือสิ่งสำคัญ อาหาร การรบ การเดินทาง การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ล้วนเกิดขึ้นผ่านเรือ เมืองท่า และทะเล

เยนัวในอิตาลีสร้างคนแบบคริสโตเฟอร์ โคลัมโบ บริสตอลในอังกฤษ สร้างคนแบบจอห์น คาบอต นอร์มังดีในประเทศฝรั่งเศสได้ชื่อมาจากชนเผ่านอร์แมนจากทางตอนเหนือผู้ทำให้เมืองท่าแห่งนี้แตกต่างจากเมืองอื่น เวนิซ มาร์เซย์ และอีกหลายเมืองที่เขาอยากไปเยือนล้วนเกี่ยวข้องกับเรือและทะเล

เมืองท่าเกี่ยวข้องกับทะเล ทะเลเกี่ยวข้องกับปลา และทะเลเกี่ยวข้องกับเกลือ หญิงสาวผู้นี้ทำให้เขานึกถึงทะเล เธออาจเกี่ยวข้องกับเกลือ

แต่สำหรับเขาเธอทำให้เขานึกถึงการเดินทาง

 

เมื่อนึกถึงทะเลและการเดินทางเขาคิดถึงเพลงเก่าแก่เพลงหนึ่ง เพลงที่มาจากอีกดินแดนหนึ่งแต่เป็นเพลงที่เขาและเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคุ้นชิน เพลงที่กล่าวถึงท้องทะเลระยิบระยับในยามค่ำ

“Sul mare luccica l”astro d”argento.

Placida ? l”onda, prospero ? il vento.

Sul mare luccica l”astro d”argento.

Placida ? l”onda, prospero ? il vento.

Venite all”agile barchetta mia,

Santa Lucia! Santa Lucia..”

…ในท้องทะเลที่ระยิบระยับด้วยแสงดาว

ระลอกคลื่นอันอ่อนโยน สายลมอันละมุนละไม

ในท้องทะเลที่ระยิบระยับด้วยแสงดาว

ระลอกคลื่นอันอ่อนโยน สายลมอันละมุนละไม

พัดผ่านมาในเรือลำน้อยของฉันที่เดินทางอย่างแน่วแน่

นักบุญลูเซีย นักบุญลูเซีย…

 

“คุณเคยกินจามอนไหม?”

ถ้อยคำของเธอปลุกเขาจากภวังค์ เขาส่ายหน้าแทนการปฏิเสธ “ผมได้ยินชื่อมันเป็นครั้งแรกจากคุณ”

“คุณคงไม่ใช่คนที่สนใจในเรื่องอาหารเท่าใดนัก” ครานี้เขาพยักหน้าตอบ

“ผมกินอาหารเพื่อให้มีแรงงาน สามมื้อตามปกติ สองมื้อในยามงานวุ่น แต่ละมื้อขึ้นอยู่กับว่ากินกับใครและเพื่ออะไร และถ้าให้ผมตอบแบบตรงไปตรงมา ความสนใจเรื่องอาหารของผมมีเพียงว่ามันคือสิ่งที่ทำให้เรามีเรี่ยวแรงพอที่จะทำงานได้ในวันต่อวันเท่านั้นเอง”

“นั่นคือวิถีชีวิตที่เป็นไปในโลกยามนี้” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ

“อาหารกลายเป็นเพียงเครื่องให้พลังงานชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากยาชูกำลัง วิตามินเสริม ผู้คนสนใจในรสชาติของอาหารน้อยลง ผู้คนสนใจในวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารน้อยลง ชีสแบบใดก็เหมือนกัน ข้าวชนิดใดก็ไม่มีความแตกต่าง เหล้าองุ่นหรือไวน์ปีใดก็แยกไม่ได้ ที่ฉันพูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องวุ่นวายกับอาหารจนเกินควร เราไม่ได้มีเวลามากมายเช่นในยุคกลางหรือยุคก่อนหน้าร้อยกว่าปี เรามีหลายสิ่งที่ต้องทำ ยื่นแบบแสดงภาษี เสียค่าปรับจราจรจากการขับรถเร็วเกินไป ติดตามข่าวสารระหว่างประเทศจากทางอินเตอร์เน็ต สั่งซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น จนแม้กระทั่งลงคะแนนเสียงให้กับนักร้องที่ตนเองชื่นชอบผ่านทางรายการโทรทัศน์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ขโมยเวลาของคุณไปจนหมดสิ้น คุณสนใจการนอนน้อยลง คุณสนใจการออกกำลังกายน้อยลง และในที่สุดคุณก็สนใจอาหารน้อยลง”

“ฉันไม่อาจกล่าวคำใหญ่โตเกินไปได้ แต่อาหารที่เรากินในอดีต อาหารที่พ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตาและยายของเราทำให้เรากินในอดีต มีคุณค่ามากกว่านี้ ทั้งในแง่รสชาติและความงามของมัน อาหารเคยเป็นสิ่งประทังชีวิตสำหรับมนุษย์ยุคโบราณ นีแอนเดอร์ทัล โครมาญอง และผู้คนเหล่านั้นล้วนกินอาหารเพื่อดับความหิวกระหาย แต่พวกเราเองก็พัฒนาให้อาหารมีความละเอียดอ่อนขึ้น แต่แล้วในที่สุดเรากลับพบว่าไม่มีใครเสียเวลาเสาะแสวงหาสิ่งของล้ำค่าอย่างเห็ดทรัฟเฟิลหรือไข่ปลาคาเวียร์มาไว้ในครัวที่บ้าน นับเนื่องไปจนถึงสิ่งสามัญอย่างชีสพาร์มาเจียโน่หรือปลาคอดเค็ม อาหารในฐานะงานศิลปะ อาหารในฐานะสิ่งละเอียดอ่อนที่มนุษย์ได้ค้นพบ หายไปจากท้องตลาดและสายตาของพวกเราทีละน้อย”

“จนน่าห่วงว่าไม่เพียงแต่สัตว์พื้นถิ่นจะสูญพันธุ์ อาหารพื้นถิ่นก็จะสูญพันธุ์ไปด้วยเช่นกัน”

 

หญิงสาวผู้นั้นมองไปที่หน้าต่างเบื้องนอก

“การละเลยการให้คุณค่าอาหารในแง่ของศิลปะและอารยธรรมทำให้เราตัดขาดตนเองจากการปรุง การชิม และการรับรู้รส ถ้าหากแม่ของฉันไม่อาจรับรู้รสเค็มได้ ผู้คนในสังคมยุคใหม่น่าจะแทบไม่รู้รสอะไรเลย พวกเขามุ่งหน้าไปในดินแดนไม่รู้จัก ไปตามถนนที่ไม่เคยสัญจรดังที่เรากำลังกระทำ แต่สิ่งที่เขาจะพบสุดปลายทางไม่ใช่ดินแดนหรือสถานที่ที่ตั้งใจแต่กลับเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าแบบเดียวกับทะเลทรายหรือมหาสมุทรที่ปราศจากนาม”

“แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ พวกเราตั้งใจกระทำในหลายสิ่งเพียงเพื่อจะพบว่าในที่สุดแล้วมันคือความว่างเปล่า” หลังกล่าวถ้อยคำนั้นชายหนุ่มหวนนึกถึงชีวิตคู่ของตน

“มันก็จริงอยู่ ฉันเพียงแต่รู้สึกว่ายากที่จะยอมรับมัน คุณรู้ใช่ไหมว่าในทุกงานศิลปะจะมีผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนตนจนไปถึงจุดที่เกิดการรับรู้ที่ละเอียดอ่อนขึ้น ชีวิตแบบนั้นกำลังหายไป การฝึกฝน การเคี่ยวกรำตนเอง เรามีปรมาจารย์ชงชาในประเทศญี่ปุ่น นักบ่มซอสถั่วเหลืองในประเทศจีน ไปจนถึงคนเลี้ยงผึ้งที่เข้าใจผึ้งกว่าตนเองในศรีลังกา

จามอนก็เหมือนกัน เรามีคนที่ฝึกฝนในการหมักและแปลงสภาพของขาหมูเค็มไปเป็นศิลปะชั้นสูง

เราเรียกพวกเขาว่า “โทโกโรโก้”

 

“โทโกโรโก้” ชายหนุ่มทวนคำ

“ใช่ โทโกโรโก้ พวกเขาสามารถเฉือน “จามอน” เป็นชิ้นบางแสนบางได้อย่างน่าทึ่ง ไม่นับว่าในหนึ่งจานที่คุณกินพวกเขาสามารถเฉือนส่วนที่มีรสชาติต่างกันถึงห้าแบบของจามอนลงบนจานให้คุณได้ลิ้มลอง มันเป็นศิลปะแห่งการฝึกฝน เขาเฝ้าดูการหมักเกลือของแต่ละที่ ตรวจสอบขนาดของหมู ความเค็มของเกลือ ก่อนจะสั่งจามอนจากที่ต่างๆ ไปเก็บรวบรวม ในอดีต พวกเขาอาจเปิดร้านขายจามอน แต่ในปัจจุบันหลายคนคือเชฟที่ปรุงอาหารจากจามอนแต่เพียงอย่างเดียว”

“นั่นคือชีวิตที่ทุ่มเทเอามากๆ”

“เป็นแบบนั้น ในช่วงที่ครอบครัวของเรายังทำจามอนอยู่นั้น มีโทโกโรโก้ คนหนึ่งที่ชื่อว่าเอนริเก้ เขาไม่เคยใช้หรือบริโภคจามอนจากที่อื่นเลยนอกจามอนของครอบครัวเรา จากฝีมือของพ่อฉัน

หลังจากการหายตัวไปของพ่อ เขาปิดร้าน เลิกกิจการ พวกเราย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองและไม่ได้ติดต่อเขาเลย

หลายปีผ่านจนฉันจบมหาวิทยาลัย ในคืนแห่งการฉลองนั้นเอง เอนริเก้ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของเรา

ไม่แน่ชัดว่าเขารู้จักที่อยู่ของเราได้อย่างไร เขาเคาะประตูหน้าบ้าน เมื่อเราเปิดประตูออก ก็เห็นเขา เขาแก่ชราลงมากแต่ยังแข็งแรง เขาแบกขาหมูเค็มหรือจามอนไว้บนบ่า ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน วางมันลงบนโต๊ะ และบอกว่าเขาจะแล่มันให้เรากิน”

“นี่คือจามอนที่เดินทางมาจากฝีมือของพ่อฉัน”