จรัญ มะลูลีม : ทรัมป์กับมุสลิม (6) : การเหยียดชาติและอิสลาโมโฟเบีย

จรัญ มะลูลีม
REUTERS/David Ryder

Jared Kushner บุตรเขยของทรัมป์ซึ่งมีอาณาจักรเรียลเอสเตตของตัวเอง แต่ไม่มีคุณวุฒิพอกับตำแหน่งใดๆ กลายมาเป็นที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของทรัมป์ ร่วมกับผู้นำทางยุทธศาสตร์อื่นๆ ในชุดบริหารของเขา รวมทั้งคณะทำงานในทำเนียบขาวอื่นๆ ที่ขาดมาตรฐานของความเป็นผู้นำ

เมื่อเข้ามาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ก็มีคำสั่งซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชาวมุสลิมผู้อพยพจากเจ็ดประเทศ (เยเมน ซีเรีย อิรัก อิหร่าน โซมาเลีย ลิเบีย และซูดาน)

ผมเองได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศต้องห้ามของทรัมป์เหล่านี้มาแล้ว 6 ประเทศ คือ เยเมน ซีเรีย อิรัก ประเทศละหนึ่งครั้ง ลิเบียสองครั้ง (ได้มีโอกาสพบกัดดาฟี ผู้นำลิเบียที่บ้านของเขาในกรุงตริโปลี) อิหร่าน 8 ครั้ง (ได้มีโอกาสเข้าพบ อะยาตุลลอฮ์ คอมาเนอี ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดคนปัจจุบัน และประธานาธิบดี มุฮัมมัด คอตามี อดีตประธานาธิบดีสายพิราบของอิหร่าน) และไม่เห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่ในประเทศเหล่านี้จะมาเป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงของสหรัฐได้อย่างใด

การก่อการร้ายครั้งใหญ่ๆ ในสหรัฐแทบจะไม่มีคนใน 7 ประเทศนี้เข้าร่วมสังฆกรรมเลยแม้แต่น้อย

การห้ามดังกล่าวเป็นการปฏิเสธความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญสหรัฐที่มีต่อผู้อพยพจากประเทศเหล่านี้ รวมทั้งผู้คนของประเทศเหล่านี้ ซึ่งเข้าไปอยู่ในสหรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาช้านาน

เจ็ดปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปเยือนชาวมุสลิมในสหรัฐเป็นเวลาหนึ่งเดือนในหลายๆ รัฐ และพบว่าชาวมุสลิมจากทั่วโลกรวมทั้งจากเจ็ดประเทศล้วนอยู่อย่างมีความสุข และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมสหรัฐ

ผมจำได้ว่าแม้แต่อาคารรัฐสภาของสหรัฐยังมีที่ละหมาดให้ในวันศุกร์และมีชาวมุสลิมจากทั่วโลกมาละหมาดที่นั่น

 

ก่อนหน้าที่นายพล Michael Flynn จะหลุดออกไปจากวงโคจรของฝ่ายบริหารของทรัมป์อันเนื่องมาจากข้อกล่าวหาว่าด้วยความสัมพันธ์กับรัสเซียและอื่นๆ นั้น

Flynn ซึ่งได้กลายเป็นอดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของทรัมป์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีอคติอย่างรุนแรงต่อศาสนาอิสลาม อันเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุด (fast growing religion) ในสหรัฐ

นอกจากนี้ คนในแวดวงการบริหารของทรัมป์ เช่น Jame Mattis (แห่งกระทรวงกลาโหม) John F.Kelly (แห่งกิจการมาตุภูมิ) ก็ได้กลายเป็นนายทหารที่ได้รับตำแหน่งสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองนายพลไม่ได้รับการยอมรับจาก Colin Powell อดีตนายทหารขวาจัดที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญของพรรครีพับลิกันมาก่อน เช่น เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงของเรแกน ประธานร่วมฝ่ายเสนาธิการของบุชผู้พ่อ รัฐมนตรีต่างประเทศของบุชผู้ลูก

ครั้งหนึ่ง Colin Powell เรียก Flynn ว่าเป็น “ขวาจัดคลั่ง” ซึ่งทำงานขัดแย้งกับนโยบาย

ส่วน Mattis ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายบัญชาการ และได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารของโอบามาให้หยุดงานไปอย่างเงียบๆ ก็ถูกมองว่าเป็นผู้ไม่ทำตามคำสั่งและก้าวร้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบที่จะให้มีการเผชิญหน้ากับอิหร่าน

คนเหล่านี้ถูกมองโดยผู้คนโดยทั่วไปว่าเป็นพวกขวาจัดและเป็นอันตรายต่อรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย

การนำเอานายพลเกษียณอายุมาอยู่ในคณะรัฐมนตรีซึ่งดูแลกองกำลังทหารทั้งหมด รวมทั้งความมั่นคงภายในนั้น ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนสปิริตตามตัวอักษรของรัฐธรรมนูญสหรัฐ

ซึ่งเรียกร้องให้กองกำลังทางทหารอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้มีอำนาจหน้าที่ฝ่ายพลเรือน

 

การเหยียดชาติและอิสลาโมโฟเบีย

ดังได้กล่าวมาแล้วธงในการหาเสียงเพื่อขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์มีข้อใหญ่ใจความอยู่ที่อิสลาโมโฟเบียหรือโรคหวาดกลัวอิสลามอย่างไร้เหตุผล และความเกลียดชังผู้อพยพที่ไม่ได้เป็นคนขาว

งานของทรัมป์ในเบื้องต้นคือการรณรงค์เพื่อสร้างกำแพงตลอดชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก เพื่อป้องกันคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยทรัมป์จะเอาเรื่องคนเข้าเมืองผิดกฎหมายมารวมกับการค้ายาเสพติดและการลักลอบเข้าสหรัฐของผู้ก่อการร้าย เขาเอาสองอย่างนี้มารวมกันทั้งโดยเปิดเผยและโดยปิดบัง

Flynn ถึงกับกล่าวว่า ในความเป็นจริงพวกค้ากำไรจากยาเสพติดได้ส่งสัญญาณมาที่ชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโกแล้ว เช่นเดียวกับในโลกอาหรับ ซึ่งยังมีการย้ำถึง “เส้นทางการเข้ามาของผู้ก่อการร้ายอิสลาม” เขาเอาสงครามต่อต้านยาเสพติดและสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่เรียกอย่างไม่ถูกต้องว่าการก่อการร้ายอิสลามมาเป็นสองอย่างที่ถักทอเข้าด้วยกัน ซึ่งจะนำอันตรายมาสู่คนอเมริกันผิวขาว

อุดมการณ์ของทรัมป์ (Trumpist) ดูเหมือนต้องการจะยกระดับในสิ่งที่ Bannon เรียกว่านักญิฮาดอิสลามฟาสซิสม์ (Jehadist Islamic fascism) และบ่อยครั้งก็พาดพิงไปที่ศาสนาอิสลามเสียเอง

ในอดีตความคิดว่าด้วยการสมคบคิดของชาวยิว (Jewish conspiracy) เพื่อต่อต้านชาติเยอรมนีครอบครองอุดมการณ์นาซี (Nazi idology) มาตลอด

 

ในทำนองเดียวกัน การเรียกขานชาวเม็กซิกันของทรัมป์ว่าเป็นนักข่มขืนและผู้ผลักดันการค้ายาเสพติด หรือแม้แต่ “ผู้สังหารประชาชนของเรา” จึงเท่ากับเปลี่ยนเม็กซิโกให้เป็นสิ่งคุกคามจากภายนอก

มีรายงานว่าทรัมป์ได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดี Enrique Pena Nieto ว่า คุณจะต้องจ่ายสำหรับค่าทำกำแพงไม่ว่าคุณจะต้องการมันหรือไม่ก็ตาม

จากข้อความของ Associated Press เขายังพูดกับผู้นำเม็กซิโกต่อไปอีกว่า คุณมีพวกนี้อยู่มากที่บ้านคุณ คุณไม่ได้หยุดยั้งพวกเขาอย่างเพียงพอ ผมคิดว่าทหารของคุณหวาดกลัว ทหารของเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมอาจส่งพวกเขาไปดูแลก็ได้

ข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นความหลงตนเองของทรัมป์ หรือไม่ก็อาจจะเกิดจากความไม่รู้จริงๆ ของเขาในเรื่องพิธีการทางการทูตโดยเขาทำตัวเองเหมือนเป็นหัวหน้าของรัฐที่อ่อนแอกว่าโดยรัฐเหล่านั้นถูกมองราวกับเป็นทาสผู้รับใช้ เขาสร้างภาพการเป็นหัวหน้าในทุกเรื่อง

ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่พวกเหยียดผิวขวาจัดเท่านั้นที่ชอบวิธีการของทรัมป์

 

จุดศูนย์กลางของทรัมป์ในตอนเริ่มต้นการทำหน้าที่ประธานาธิบดีของเขาจึงอยู่ที่การต่อต้านชาวมุสลิมและชาวเม็กซิกัน ด้วยการขยายความเชื่อที่ถูกตกแต่งขึ้นเพื่อให้คนเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อของคนอเมริกันผิวขาว นอกจากชาวมุสลิมและชาวเม็กซิกันแล้ว ยังรวมทั้งชาวจีนซึ่งเวลานี้กำลังหนีหายจากงานที่มาจากคนอเมริกันผิวขาว การกระทำของทรัมป์ในเวลานี้จึงเป็นการทิ้งห่างความหลากหลายทางวัฒนธรรม (multiculturalism) ซึ่งมุ่งหมายที่จะดูแลทุกภาคส่วนโดยเท่าเทียมกัน

การอยู่ในสหรัฐของชาวมุสลิมถูกมองว่าเป็นการละเลยแนวทางจูดาห์-คริสเตียน (คนขาว) ในสังคมของชาวอเมริกัน

ตัวอย่างเช่น Flynn ได้ย้ำว่าในสหรัฐกฎหมายอิสลาม (ชะริอะฮ์) ได้เข้ามาแทนกฎหมายอเมริกัน ในแวดวงของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของ Flynn จะเรียกข้อมูลของ Flynn อย่างติดตลกว่าข้อเท็จจริงของ Flynn (Flynn Facts) สิ่งนี้ไม่ต่างไปจากการที่นาซีตัวแทนของชาวเยอรมัน ได้ละทิ้งชาวยิวกลุ่มน้อยจากภายในและต้องการอำนาจต่างประเทศมากขึ้นจากภายนอก

หรืออย่างที่ฮินดุตวา (Hindutva) หรือฮินดูชาตินิยมอ้างว่าจำนวนการเกิดของชาวมุสลิมเป็นการคุกคามด้านจำนวนประชากรต่อชาวฮินดูในอินเดีย