จากใจ “ทมยันตี” ถึง “พนมเทียน” จากเพื่อนถึงเพื่อน

ภาพจาก ล้านนาเทวาลัย Lanna Devalai

“ใจหาย” “ทมยันตี” คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ เผยความรู้สึก เมื่อรับทราบข่าว “พนมเทียน” ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ จากไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน ด้วยโรคหัวใจ

“เขาเป็นเพื่อนรักที่ชื่ออี๊ดเหมือนกัน เวลาเจอหน้า ดิฉันก็เฮ้ย อี๊ด เขาก็เออ อี๊ด ทักกันอย่างนั้น คบกันมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวสนิทกันมาก ดิฉันเคยบอกเขาว่า วันหนึ่งดิฉันจะใช้นามปากกาว่าพนมธูป แข่งกับพนมเทียน เขาบอกเออ จะนั่งคอย แต่ป่านนี้ดิฉันก็ยังไม่ได้ใช้นามปากกาพนมธูปเลย”

“เขาเป็นนักเขียนที่เก่ง ตอนเขียนเรื่องเพชรพระอุมา เคยนั่งซักว่าเขียนได้ยังไง เพราะดิฉันเขียนได้ 2 เล่มก็หมดปัญญา แล้วของเขามันสนุกตรงมันมีตัวอะไรต่อมิอะไร ยังบอกเขาว่า แกน่ะยิงหมดเลยเหรอวะ ช้าง ผีสาง แกไม่ได้ยิงอยู่อย่างเดียว เขาตาโต ถามอะไร ก็บอกแกยังไม่ได้ยิงมดว่ะ”

เล่าแล้วทมยันตีที่ย้อนนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างเพื่อนก็หัวเราะ

“ตอนงานสัปดาห์หนังสือเราไปนั่งเซ็นหนังสือเหมือนกัน ที่โต๊ะของเขาก็จะมีแซนด์วิชอร่อยๆ ขนมอร่อยๆ ที่ภรรยาของเขาเตรียมเอาไว้ ดิฉันก็เดินไปคุยแล้วกินแซนด์วิชจนหมดแล้วก็กลับมา ทำงานใครงานมัน”

“เขาเป็นนักเขียนที่สุภาพ เป็นนักเลงปืนที่รู้จักปืนทุกชนิด เป็นคนที่รู้จริง เขาเล่าอะไรมาทั้งหลายแหล่ เขาก็เข้าป่าจริง ฉะนั้น เรื่องที่เขาเขียนก็จริง แล้วเขาเขียนเรื่องรักสนุกนะคะ เคยอ่านเรื่องละอองดาวไหม เขาเขียนเรื่องรักเพราะมาก แต่เรื่องรักของเขาสู้เพชรพระอุมายังไม่ได้ ดิฉันชอบล้อเขา เพชรพระอุหมา ออกเสียงไปอย่างนี้ เขาบอกบ้า”

“คือถ้าไปงานสัปดาห์หนังสือกัน ดิฉันต้องลุกจากโต๊ะของดิฉันเข้าไปหาเขา บางทีเขาก็ให้ภรรยาเขามาตาม ถามเป็นอะไร เขาบอกเหนื่อย ดิฉันก็ว่าไม่จริงละ คนอย่างแกก็ให้ผู้หญิงเดินมาหาวันยังค่ำคืนยังรุ่ง เขาบอกโอ้โห แกคิดว่าแกเป็นผู้หญิงด้วยเหรอ นี่ละค่ะ คือสิ่งที่เราคุยกัน ไม่ได้เรื่อง เหลวไหล แต่สนุก มีความผาสุกในการคุยกัน”

“ดิฉันชอบเพชรพระอุมา ชอบเรื่องเขียนของเขา ชอบเรื่องป่า ก็อ่านป่าของเขา แล้วฝันถึงเพชร ว่าต่อไปจะเจอเพชรเม็ดโตๆ ไหม แล้วก็ชอบตัวปีศาจสารพัดปีศาจตั้งแต่เด็ก คือเด็กจะชอบนิทาน ถูกไหม เรารู้ว่าตัวปีศาจใหญ่ๆ อย่างนั้นมันไม่มี แต่มันสนุก เรากลับไปอยู่ในโลกแห่งความฝันของเด็กน่ะ คุณคิดให้ดีนะ คุณอ่านเรื่องพวกนี้ คุณไม่ได้มีอายุขนาดนี้ แต่คุณถอยหลังกลับไปเป็นเด็ก แล้วก็ได้เห็นภาพอย่างนั้น ที่เขาวาดให้เราอ่าน จินตนาการสวย”

ภาพจาก ล้านนาเทวาลัย Lanna Devalai

“นวนิยายทั้งหมดถ้าใครจินตนาการให้คนอ่านอ่านได้ เรื่องเหล่านั้นจึงอยู่ในหัวใจคนอ่าน เขาไม่รู้หรอกว่าอะไร แต่โลกของเขาที่ถอยหลังกลับเข้าไปในโลกที่นักเขียนต้องเขียนดีจนเขาจินตนาการได้ นี่คือฝีมือของพนมเทียน”

“ตอนเขียนไว้อาลัย บอกเราไม่ร้องไห้นะ แต่จริงๆ ร้อง” ทมยันตีในวัย 82 ปีบอก

“ร้องนิดหน่อย เราแก่แล้ว เรารู้จักความตาย เดี๋ยวเราจะตามไป ไปคอยก่อนในสวรรค์ชั้นวรรณศิลป์ ไปคอยตรงนั้นนะ ประภัสสร (เสวิกุล) ก็ไปอยู่ตรงนั้น เพ็ญแข วงศ์สง่า ก็ไป จินตวีร์ วิวัธน์ นั่นรุ่นน้องด้วยซ้ำ แล้วอีกหลายๆ คนก็ไปอยู่ที่นั่น ป่านนี้เขาคุยกันลั่นละ ดิฉันก็นึกแล้ว เดี๋ยวเขาคงรวมหัวกันนินทาเรา เพราะเรานั่งอยู่คนเดียวตรงนี้ นินทาเราแน่นอนสุดๆ”

“อย่าให้ตามไปเร็วนะ ตามไปเร็วโดนแน่” เธอว่า

สำหรับเรื่องที่จะ “ตามไป” ซึ่งเธอเขียนไว้ในเพจล้านนาเทวาลัย Lanna Devalai และมีหลายคนมาแสดงความเห็นบอก “อย่าเพิ่งรีบ” ทมยันตีบอก อันที่จริงเธอเองก็อายุมากแล้ว

“มนุษย์เราตอนที่เกิด คือวันที่เรารับหน้าที่ตาย บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่เรารับหน้าที่นี้ไว้แล้ว มนุษย์รับหน้าที่เกิด มีหน้าที่อยู่แล้ววันหนึ่งก็เดินไปถึงหน้าที่สุดท้าย วันนี้เพื่อนคนหนึ่งไป แล้วเราก็รู้ว่าอีกวันเราก็ไป”

ส่วน “ระหว่างทาง” ของการเกิดและตาย คือในช่วงของการอยู่ เธอก็ว่า “สู้สิ”

“อาจจะพูดเหมือนคนอื่นๆ ว่าสู้ แต่ระหว่างจุดแห่งการเกิดกับจุดแห่งการตาย เราทั้งหมดมีพันธกิจ มีพันธะที่ต้องกระทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงระลึกว่าเรามีพันธกิจที่ต้องทำให้ดีที่สุดเสมอ เพื่อว่าเมื่อไปถึงเวลาตาย เวลาตายนั้นไม่ได้บอกว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ในพิธีใหญ่หรือตายเงียบๆ เล็กๆ คนเดียว แต่สำคัญที่สุดคือเราทำพันธกิจนั้นเรียบร้อย หรือดีที่สุดหรือยัง ไปชนะกันตรงจุดตาย ถ้าเราทำพันธกิจนั้นเรียบร้อยที่สุดและดีที่สุดแล้ววันนั้นเราจะหลับตาลง ยิ้มกับตัวเอง บอกกับตัวเอง ฉันจบแล้ว ไม่มีอะไรค้างคาในโลกนี้อีกแล้ว ขอบคุณโลกที่ให้ฉันเกิด ขอบคุณโลกที่ให้ฉันอยู่ และขอบคุณโลกที่ท้ายที่สุดฉันก็คืนทุกอย่างให้กับโลกไป”

“เมื่อถึงเวลาที่เดินทางไป เราจะเดินตัวปลิว เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว”

“แค่นั้นละ”

“เท่านั้นเอง”