การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ข้างหลังแม่

“อีพี่! กินข้าว!”

เสียงพี่โฟตะโกนมาจากห้องกินข้าว ซึ่งนั่นหมายถึงห้องเล็กๆ อยู่ต่อจากครัวไฟ มีบันไดลงไปส้วมด้านหลัง และมีอีกประตูสำหรับออกข้างรั้วได้ แต่ถ้าขึ้นบันไดสี่ขั้นก็จะกลับขึ้นบนเรือน ผ่านหน้าห้องนอนพ่อ-แม่และฉันเข้าสู่เติ๋นหรือห้องโถง

ฉันกำลังนอนพังพาบอยู่บนพื้น ขีดเขียนบนกระดาษสมุดได้หกเจ็ดหน้า

ทว่า…ก็แค่ตัวหนังสือที่หลั่งไหลออกมา และถูกกักขังไว้ในนั้น…เท่านั้น

ฉันยังไม่มีความมั่นใจจะส่งไปให้เพียงบัวอ่าน หรือแม้จะส่งไปที่ใด บางเวลา เราก็แค่อยากระบายออกไป…เอาสิ่งที่อัดแน่นในอกใจออกไปเสียบ้าง

“อีพี่!”

เสียงพี่โฟดังอีก ครั้งนี้กระแทกกระทั้นกว่าเก่า

“รู้แล้ว! ได้ยินแล้ว!”

ฉันตะโกนกลับบ้าง

มีน้อยครั้งที่ฉันจะเสียงดังกับใครเขา แต่ก็นั่นละ ถ้าอยู่กับคนอย่างพี่โฟ ถ้าไม่ทำตามอย่าง ก็ต้องตกเป็นเบี้ยล่างร่ำไป

อยากจดลงในสมุดเหมือนกันว่า บทเรียนอีกข้อ : อย่าอ่อนแอ ต้องสู้

แต่ก็อีกนั่นเอง มันมีประโยชน์อะไรหรือกับการพยายามต่อสู้ อย่างที่รู้ อย่างที่เห็น อยากไปไกลแค่ไหน ฉันก็กลับมาในสภาพซ้ำเก่า

เป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกคนเก่า

เป็นอีพี่คนเก่า ที่ใครๆ ย่อมเอาแต่หยันเยาะสมน้ำหน้า

 

“กว่าจะเสด็จลงมาได้”

พี่โฟออกปาก มิวายจะปรายตามาอย่างรำคาญ พลางขยับตัว คดข้าวนึ่งใส่จานเลื่อนให้

“แกงจะเย็นจะหมดแล้ว”

“อ้าว พ่อ-แม่ล่ะ” ฉันถาม เพราะในวงข้าว มีเพียงเรา กับน้องที่นั่งตาใสแจ๋วอยู่

“พ่อกับแม่มึงไปบ้านยายพัดโน่น”

“อ้าว ไปทำอะไร”

“มึงก็หมกตัวอยู่แต่ห้อง จะรู้เรื่องรู้ราวอะไรกับใครเขา ยายพัดตกบันไดคอเกือบหักตาย คนเขาแล่นไปดูกันทั้งอำเภอ มีมึงนอนแช่_ีอยู่คนเดียว…กูถามจริงๆ เทอะ มึงอยู่แต่ห้องทำอะไรนักหนา อ่านหนังสือนะรึ! ระวังเถอะจะเป็นบ้าเป็นว้อไป อ่านหนังสือมากๆ จะเสียผู้เสียคน!”

“พี่หิวก็กินไปก่อนสิ ไม่ต้องรอฉันก็ได้” สะกดใจไม่เถียงตอบ

“ของกินก็มีเท่านี้!” พี่โฟกระแทกเสียงอีก “มึงคิดว่าจิ๊นหมูจิ๊นไก่มันลอยลงมาจากฟ้ารึยังไง! อีพ่อมันเซาะสตางค์ก็ใช่จะได้มาก เป็นปู่จ๋านหนานวัด จะทำอะไรก็ระวังพี่น้องชาวบ้านเปิ้นว่า แม่มึงก็ใจแข็งล้ำ บ่มีก็ยอมอดยอมหิว ของดีจกดีลักพ่อง ก็บ่ยอมทำสักอย่าง…”

“ก็ถูกแล้วนี่พี่โฟ” ฉันขัดขึ้น “ไม่มีกินก็คือไม่มี จะไปลักขโมยของคนอื่นเขาได้ยังไง!”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะลักขโมยเอาแท้ แค่ว่าเรายืมเขาบ้าง…มึงไม่เข้าใจหรืออีพี่ แค่หยิบยืมเขามาสักหน้อย ได้ดีมีสุขเราก็เอาไปคืน”

“ยืมก็ยืมสิพี่ ลักกับยืมมันคนละอย่างกัน”

“เออ กูรู้ แต่กูหมายความว่า บางทีเราก็มีเหตุให้ต้องเอาของเขามาก่อน ยังไม่ได้บอกเขาเสมอไปก็ได้”

ฉันมองหน้าพี่สาว และเหลียวมองน้องแวบหนึ่ง จะชั่วดีอย่างไร สิ่งที่พี่โฟพูดมา ไม่ใช่สิ่งที่พ่อ-แม่เคยสอนไว้

พลางนึกสังหรณ์ใจขึ้นมา

“เดี๋ยว พี่พูดอย่างนี้ พี่ไปเอาสตางค์ใครมา…”

ใจฉันหายวูบ

“อย่าบอกนะว่า…”

ฉันจำได้ว่า เก็บใบแดงมัดม้วนหนังยาง ซุกไว้ในถุงย่ามแขวนในห้อง

“พี่เอาสตางค์ฉันไปรึ?!”

พี่โฟกลับมองหน้าฉันทันที

“มึงมีสตางค์?”

น้องเหลียวมองคนนั้นที คนนี้ที ถามขึ้นเบาๆ

“จะกินกันหรือยัง”

“อะ กินๆ” พี่โฟตัดบท รีบเลื่อนถ้วยไข่ทอดให้น้อง

ในขันโตกวันนี้มีแกงอ่อมควาย ใส่เครื่องในพรั่งพร้อม

“มึงอย่าเพิ่งมากล่าวหากูอีพี่! กูแค่ยกตัวอย่าง…ว่าแต่มึงมีสตางค์เท่าไหร่ มีติดตัวไว้นานแล้วสิ! แล้วนี่ก็ไม่ปากบอกสักคำ”

“ไม่ได้มีมาก” ฉันอยากถอนหายใจยาวๆ “ถามจริง พี่เอาสตางค์ใครมาหรือเปล่า”

“เออ บอกก็ได้ กูจกเอาสตางค์ในโป้ของแม่มึงมาสองใบ ไม่ได้เอาไปไหน ไปแตกในกาด ซื้อของมาทำกินนี่แหละ”

ฉันอึ้งกับคำตอบ มองหน้าพี่สาว ก็เห็นแต่ความไม่อนาทรร้อนใจ

“คนขี้ลักขี้ขโมยน่ะ มันบาปเพราะเอาของคนอื่นไปเสวยสุขแต่ตัวเก่าคนเดียว แต่อย่างกูแค่เอามาไม่ทันได้บอก ใบเขียวใบแดงกลายมาเป็นแกงจิ๊นสู่ปากทุกคน จะได้ขึ้นสวรรค์ละไม่ว่า”

ฉันตกตะลึงกับคำอธิบายนั้น คิดตั้งแต่นั้นว่า มันจะต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง…เพียงแต่ฉันยังเรียบเรียงมันไม่ได้ พี่โฟมีความคิดแปลกเกินไป…แต่ก็ชักไม่แน่ใจ หรือเป็นตัวฉันต่างหากที่ไม่เหมือนคนอื่น

“แล้ว…พี่จะบอกแม่มั้ยล่ะ”

“เอาไว้เหมาะๆ กูจะบอกเอง มึงก็อย่าปากมากไปเชียว”

ฉันวางช้อนลง

“งั้นพี่ก็กินไปเถอะ แกงมื้อนี้”

“โถ อีพี่!” พี่โฟว่าตามหลัง ยังได้ยินชัดแม้เมื่อลุกจากมา “ทำมาเป็นสลิดดก กูจะบอกให้ว่า มึงน่ะ ก็เป็นภาระอีพ่ออีแม่! ถึงจะลูกแก้วลูกขวัญ นั่งกินนอนกินทุกวัน ชาวบ้านเปิ้นก็เล่าขวัญอยู่!”

 

[เพียงบัว…

เธอเคยไหม ที่จะตั้งข้อสงสัยกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว และหลายครั้งคราว เหมือนเราอยู่เพียงลำพังในโลกท่ามกลางผู้คนมากมาย

ฉันกำลังมีความสงสัยเต็มอกไปหมด หรือว่า…ฉันต่างหากที่แปลกประหลาด กับการชอบอ่าน ชอบเขียน ฉันพอใจที่จะจุดเทียนอยู่อย่างสงบในห้อง หรือเฝ้ามองสายน้ำรินไหลไม่รู้เบื่อหน่าย

…แต่ก็นั่นอย่างไรเล่า ชีวิตฉันคือกรวดทราย หรือเป็นเพียงใบไม้ที่ไหลลอยไป?…เพื่ออะไร…จะไปไหน ฉันยังอดเกิดคำถามไม่ได้ทุกที เรามีชีวิตในวังวนแบบนี้ไปเพื่ออะไร…พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก ถึงเวลาก็จะต้องหิว ถึงเวลาก็จะต้องนอน แล้วแค่ได้กินได้นอนมันเพียงพอจริงไหม…

เพียงบัว ฉันจะทำอย่างไรกับสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉัน มันเหมือนงูกินหางไม่รู้จบ…

เราทำงานเพื่อหาเงิน เราเอาเงินมาซื้อข้าวปลาอาหาร ซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อที่จะมีชีวิตให้ได้กินได้นอน แล้วก็กินนอนเพื่อจะลุกมาทำงาน…วนไป…

ความสนุกสนานมันเป็นอย่างไรกันนะ ความสุขด้วย…ทำไมนะ ทำไม ฉันจำมันไม่ได้เสียแล้ว…]

 

[คนเดินทางคะ

เธอไม่ตอบจดหมายฉันจริงๆ ด้วย หรือว่าเธอตายจากโลกนี้ไปเสียแล้ว นี่ฉันกำลังเขียนจดหมายหาวิญญาณอยู่หรือเปล่า…

แต่รู้มั้ย พอคิดว่าไม่มีเธอในโลกนี้แล้วจริงๆ ทำให้ฉันใจหาย เศร้าใจไปเสียหมด ฉันอยากจะหายตัวได้ จะไปโผล่ดูเธอที่บ้านของเธอสักครั้ง…

ชั่งเถอะ ไม่ว่าเธอจะอยู่ตรงไหนก็ตาม ถ้าวันหนึ่งเธอกลับไปบ้านริมคลองของเธอ จะได้เจอจดหมายของฉัน แต่ถ้าเราจะไม่ได้พบกันอีก…ข้อความเหล่านี้ ก็จะได้ฝังอยู่ที่นั่น]

 

บุรุษไปรษณีย์คนเก่าจอดรถเครื่องข้างรั้ว ส่งซองหนาๆ สีน้ำตาลมาให้ ดอกบานบุรีบานไสวพันซี่ไม้ไผ่ผุพัง ฉันรับจดหมายเหมือนทุกครั้ง พร้อมหัวใจยังเต้นรัวกับความรู้สึกมากมาย

[คนเดินทาง

วันนี้ฉันส่งหนังสือวัยหวานมาให้เธออีกเล่มนะ ถึงจะไม่ใช่ปักษ์ปัจจุบัน แต่มีบทกวีของฉัน และมีของพี่โยด้วยในฉบับนี้…

พูดถึงพี่โย ตั้งแต่พบกันครั้งแรกนั้น เขาก็เขียนจดหมายมาคุยกับฉันอีกเรื่อยๆ…ใช่ละ เราคุยกันได้มากมายสารพัด ให้ตายเถอะโรบิ้น! เขามีอะไรเหมือนเธอตั้งหลายอย่าง ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ! แต่สิ่งที่ต่างกันคือ เขาตอบจดหมายของฉันทุกฉบับ…ต่างจากเธอ

นี่ฉันเขียนไปถามเขาด้วยนะ ว่าเจอฉันเขารู้สึกยังไง…ฉันเขียนไปว่า

“…พี่โยเจอกันแล้วเป็นยังไงบ้างล่ะคะ ตกลง แล้วก็ขี้แยเอากับพี่โยจนได้ พี่โยรู้มั้ย ตั้นตันใจ…ใช้คำนี้ได้มั้ยคะ อาจจะเป็นเพราะว่ากับพี่โยคุยกันได้มาก…มากกว่าที่เคยคุยกับใครๆ ตอนที่พี่โยยืนอยู่ข้างๆ รถ ความรู้สึกว่า…คนคนนี้มีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่เป็นแค่ความฝันอย่างที่เคยรู้สึกกับแม่…กับพ่อ…หรือแม้แต่พี่ใบพลู ซึ่งก็เขียนจดหมายไปหาพี่เค้าสารพัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่ใบพลูมีหน้าตายังไง…”

คนเดินทางคะ ใจจริงแล้ว ฉันอยากจะเขียนลงไปด้วยว่า…เธอด้วย ที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นแค่ความฝัน ไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ สักหน่อย จะมีลายมือ บทกวี มีซองจดหมายเป็นพยานว่าเราเคยได้รู้จักกัน ถึงขั้นฉันจะขึ้นไปอยู่กับเธอ…แต่เธอก็เป็นเพียงความฝัน…ที่หลอกหลอนฉันอยู่เท่านั้นเอง]

 

“ยายพัดเป็นยังไงบ้างล่ะอีแม่”

เสียงพี่โฟถามแม่ ทันทีที่มีเสียงฝีเท้าย่ำขึ้นเรือนมา

“บ่เป็นหยังแล้ว หมอแพทย์ก็กลับละ”

“ไหนว่าตกบันไดบ่ใช่กา”

“บ่ขนาดนั้น แค่ย่ำตีนซิ่นตัวเก่าผะเลิด ยังไม่ทันขึ้นบันได คนเขาก็เล่ากันจนตกอกตกใจไปหมด”

“ปากชาวบ้านนี่ละหนา” พี่โฟว่า “งั้นเจ้าจะดาขันโตกให้ วันนี้ทำแกงอ่อมจิ๊นควาย”

“เหมาะๆ” เสียงพ่อ “ไปเอาจิ๊นที่ไหนมา”

“อีพี่ควักสตางค์ให้” เสียงพี่โฟดังแว่วๆ แต่ทำให้ฉันต้องชะงักทันควัน ละตาจากหน้ากระดาษจดหมาย “มันว่าอยากให้อีพ่ออีแม่ได้กินของลำๆ พ่อง”

ถลันออกห้อง ฉันต้องหยุดกึก เมื่อประจันหน้ากับแม่พอดี

และได้เห็น…สายตาที่จ้ากระจ่าง เต็มไปด้วยความรัก ความดีใจ ความภาคภูมิใจ ขณะที่พี่โฟยิ้มเย้ยให้อยู่ข้างหลังแม่