อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ : การเมืองของไวรัส

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

ท่ามกลางโลกที่ปกคลุมไปด้วยการแพร่ระบาดของไวรัส ผู้คนล้มตายไปเป็นหลักแสน คนติดเชื้อจำนวนนับล้านคนทั่งโลก คนจนฉับพลัน เนื่องจากเกิดการปิดกิจการพร้อมๆ กันทั่วโลกและอาจกลายเป็นคนจนถาวรในไม่ช้า

อุบัติการณ์ใหม่เกิดขึ้นทั่วโลกได้แก่ เมืองร้าง การขาดแคลนยารักษาโรคอาจเป็นเรื่องปกติพอๆ กับอาหารที่เริ่มหายากขึ้นทุกที โรงงานทุกชนิดปิดตัว ซับพลายเชนโลกพังคลืนขาดสะบั้น หยุดและตายอย่างฉับพลัน

เริ่มพูดกันถึงมหาเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Recession) ที่ไม่มีใครเผชิญมาก่อน

แนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน วัฒนธรรมการกิน อยู่ เดินทาง การศึกษาและวิธีคิดเปลี่ยนแปลงไป

ทว่าไม่มีใครบอกได้ว่า เค้าโครงทางวัฒนธรรม ของมวลมนุษย์จะเป็นเช่นไร

ไม่ต้องเสียเวลาถามหรอกว่า มหาโรคระบาด โคโรนาหรือชื่อใหม่ที่ร้ายกาจเหมือนเดิม โควิด จะสิ้นสุดเมื่อใด

น่าหยุดคิดถึงกาลเวลาที่ยังมาไม่ถึงแล้วกลับมามองประเด็นพื้นฐานคือ การเมืองของไวรัส

อาจช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนและได้สติกลับคืนมา เพื่อวางบทบาทอย่างน้อยก็บทบาทของตัวเองว่า เราจะอยู่อย่างไรดีต่อไป

 

จิตใจแบบสงครามเย็น

ข้อมูลต่อไปนี้ เราๆ ท่านๆ อาจรู้แล้วก็ได้ว่าเป็นข่าวสารทั่วไปเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด มีรายงานในสื่อมวลชนว่า

จีนกับสหรัฐอเมริกาต้องล้มเลิก จิตใจแบบสงครามเย็น ของตนและร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูร่วมของมนุษยชาติ ต่อโควิด มีการอ้างอิงในสื่อมวลชนว่า โรคแพร่ระบาดได้ก่อให้ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเร่งตัวขึ้น เห็นได้จากท่าทีเย็นชาหลังจากมีการลงนามการเจรจาการค้าในช่วงแรกกลางเดือนมกราคม 2020

จากการอ้างอิงของโฆษกกระทรวงต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทหารสหรัฐเป็นผู้นำเชื้อโรคไปที่เมืองอู่ฮั่น (Wuhan)

และต่อจากนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวว่า

“…โลกกำลังจ่ายราคาแพงให้อะไรก็ตามที่พวกเขาได้ทำ…” นี่เป็นคำกล่าวหาว่า ทางการจีนปกปิดการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิดในช่วงต้นของการเกิดเหตุ

นี่เป็นข้อวิเคราะห์ของสื่อมวลชน

ทางการจีนได้อ้างถึงคำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงคำว่า ไชนีสไวรัส (Chinese Virus) ซึ่งเป็นคำที่แรงมาก ในขณะที่ความตึงเครียดต่างๆ ช่วงนั้นน่าเชื่อได้ว่าเกิดจากการตัดสินใจของทางการจีนขับไล่ผู้สื่อข่าวอเมริกันจาก The New York Times, The Wall Street Journal และ The Washington Post

สื่อมวลชนยังรายงานจากแง่มุมของจีนอีก ซึ่งน่าสนใจ เช่น นักวิชาการชั้นแนวหน้าของจีนกล่าวในวงเสวนาที่กรุงปักกิ่งว่า จีนไม่ใช่ศัตรูของสหรัฐอเมริกา คนจีนเป็นเพื่อนของประชาชนอเมริกา ความร่วมมือระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกาจะสร้างประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ และที่สำคัญยังมีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าและการพัฒนาต่อมวลมนุษยชาติ

คำกล่าวนี้มาจากนักวิชาการชั้นนำของ Think Tank ชื่อว่า The Center for China and Globalisation โดยมีข้อเสนอในที่ประชุมทางวิชาการแห่งนั้นว่า ช่วงนี้มีความจำเป็นที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ควรพูดคุยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลดความขัดแย้งต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราวต้นเดือนกุมภาพนธ์ 2020 ความตึงเครียดระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกาก็เป็นช่วงสูงสุดท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคระบาดโควิดในสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยทั้งสองฝ่ายตกลงกัน “ปิดการสื่อสาร” ระหว่างกัน

เป็นที่สังเกตว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายล้มเหลวลงในช่วงนั้น หลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง Yang Jiechi นักการทูตอันดับหนึ่งของทางการจีนกับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นาย Michael Pompeo อันก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างมากแทนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันได้

น่าสนใจ ผมตรวจสอบพอสมควร สื่อสหรัฐอเมริกายังไม่ได้ใช้คำว่า สงครามเย็น

แต่สื่อของทางการจีนกลับอ้างคำกล่าวของผู้นำทางนโยบายซึ่งส่วนใหญ่มาจากหน่วยงานที่เป็น Think Tank เสียเป็นส่วนใหญ่

เช่น ความเห็นของ Su Hao, Director, the Centre for Strategic and Peace Studies, China Foreign Affairs University กล่าวว่า1

“…Metal pattern ของการเผชิญหน้าจีนกับสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาอยู่ในสถานะการเผชิญหน้าอย่างยิ่งและเหมือน Cold War…”

 

แรงผลักดันไวรัส

ไม่มีใครปฏิเสธว่า โรคระบาดโควิด เป็นโรคระบาดใหม่เพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ด้วยเหตุนี้เองความไม่เข้าใจทางการแพทย์และพยาธิสภาพทั้งมวลต้องทั้งบูรณาการวิทยาศาสตร์สุขภาพ เทคโนโลยี เภสัชศาสตร์และอีกนานาวิทยาการ

ซึ่งก็เห็นได้ว่า มีการเรียนรู้ระบบพัฒนาการของโรคทั้งสมมุติฐาน วิธีการรักษาและการจัดการที่ต้องพัฒนาตลอดเวลา

รวมทั้งความเห็นอันแตกต่างซึ่งเข้าใจได้ของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ แต่การแพร่กระจายของโรคระบาดใหม่ตัวนี้ได้แพร่กระจายอย่างทรงพลังด้วย จิตใจสงครามเย็น อย่างแทบไม่น่าเชื่อ

ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกา คำกล่าวหรือวรรคทองก้องโลกอีกคำหนึ่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ว่า ไวรัสจีน สะท้อนอย่างชัดเจนของจิตใจสงครามเย็น ของชนชั้นนำทางนโยบายสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง หากไล่ดูข่าวสารปริมาณมหาศาลของฝ่ายสหรัฐอเมริกาในสงครามต้านไวรัสนี้จะพบว่ามีเพียงข้อสรุปง่ายๆ เพียงสองข้อว่า

ประการแรก ผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนโกหก ปิดบังและซ่อนเร้นจุดกำเนิดของโรคระบาดและการจัดการไวรัสในสาธารณรัฐประชาชนจีน

ประการที่สอง องค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization-WHO ดำเนินการเหมือนเป็นฝ่ายเดียวกับสาธารณรัฐประชาชนจีน

ผลคือ โศกนาฏกรรมทั่วโลกมากกว่าโศกนาฏกรรมครั้งใดเท่าที่เคยเห็นมา

อีกทั้งยังมีการอ้างอิงถึงนักหนังสือพิมพ์อิสระชาวจีน อ้างว่าจำนวนคนตายเป็นจำนวนมากแต่ทางการจีนปิดบังตัวเลขที่แท้จริง2

ผมคิดว่า รายงานข่าวมิได้แสดงถึงต่างฝ่ายต่างโจมตีกันระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหรัฐอเมริกา

ทว่าสิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึง จิตใจสงครามเย็น ของชนชั้นนำทางนโยบายทั้งสองฝ่ายว่าชโลมด้วยจิตใจสงคามเย็นซึ่งอาจขยายความอย่างย่อว่า

เผชิญหน้า ระแวง มุ่งใช้อาวุธทั้งทางทหาร จิตวิทยาและอาจรวมถึงมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อทั้งรุกราน ป้องปราม และข่มขู่เหมือนในยุคสงครามเย็นในช่วงระหว่างทศวรรษ 1950-1990 ไม่มีผิด

น่าสนใจสำหรับผมที่ว่า สงครามเย็นยังอยู่ กับเราท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์ ดิจิตอลไรเซชั่น และเทคโนโลยีดิสรัปชั่นยังอยู่ด้วยกันอย่างดีกับสงครามเย็น อาจเป็นเพราะสงครามเย็นเป็นระบบคิดและจิตใจแสนง่ายของผู้นำทางการเมืองของทุกค่ายที่จะระบุหรือ identify ศัตรู (enemy) และ/หรือภัยคุกคาม ซึ่งจับต้องก็ง่าย จัดการยาก แต่ก็อ้างว่ากำลังจัดการอยู่และประชาชนต้องปล่อยให้ผู้นำของพวกเขามีความชอบธรรมในการจัดการ

น่าสนใจยิ่ง ไวรัสเป็นศัตรูที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ และอาจเป็นศัตรูแห่งชาติ ตามนิยามของผู้นำทางการเมืองที่เอาไว้กำจัดผู้เห็นต่างและปิดบังข้อมูลในนามของ ข่าวปลอม หรือ Fake News ก็ย่อมได้

น่าเศร้า ประชาชนล้มตายเป็นเบือทั่วโลก ด้านหนึ่ง แรงกระจายโรคร้ายมาจากการเมืองนี่เอง

เศร้า

———————————————————————————————————————-
(1) Orange Wang, “Corona virus : China, US urged to abandon cold war mentality to unite against “common enemy of human being” South China Morning Post, 21 March 2020.

(2) Nicholas Eberstadt and Dan Blumenthal, “China” deadly coronavirus-lie-co-conspirator-the World Health Organization” New York Post 2 April 2020