ทวีปที่สาบสูญ : ช่างล้ำค่าเมื่อได้พบ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ 

 

ออกมาจากห้องน้ำ อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เมื่อใต้แสงไฟโคมนวล มีคนสวมเสื้อกล้ามหลวมๆ จนพอมองเห็นวงแขนถนัดถนี่ และถ้ามองลอดเข้าไปอีก อาจจะเห็นอกเล็กๆ ที่ฉันป่ายมือไปโดนแล้วครั้งหนึ่ง – กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง

ฉันอ่านหน้าปกไม่ออก เพราะมีแต่ภาษาอังกฤษเต็มไปหมด จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรบ้าง แต่ขณะยืนเก้กังอยู่ หล่อนก็ลดหนังสือลง

“เป็นไง สบายตัวหรือยัง”

“…ค่ะ”

มีแต่ต้องพยักหน้าให้

“งั้นก็ขึ้นมา”

หล่อนยกหัวขึ้น ขยับเคลื่อนที่เข้าชิดผนังด้านใน มีลมเป่ามาจากที่ใดที่หนึ่ง แหงนขึ้นไป เครื่องสี่เหลี่ยมอย่างหนึ่งแขวนอยู่ชิดเพดาน ที่แท้เป็นถึงห้องแอร์นี่เอง

เสียงหึ่งๆ ของมันทำให้ฉันนึกถึงอะไรก็คิดไม่ออก ถ้าได้ยินเสียงนี้ตลอดคืนจะนอนหลับไหม – อย่าทำเป็นสลิดอีพี่ – อีกเสียงด่าตัวเองในใจทันควัน ได้มีวาสนามานอนห้องแอร์อย่างนี้ ดีกว่าอยู่ห้องแคบบนนั้นเป็นไหนๆ

“อ้าว ทำอะไร มาสิ” หล่อนผงกหัวขึ้นอีก

ฉันยังมีผ้าเช็ดตัวอยู่ในมือ

“จะเอาไว้ไหน มันเปียก”

“หือ?” หล่อนขมวดคิ้ว ลุกขึ้น

“ในห้องน้ำไม่มีที่พาดหรือ…อ้อ เดี๋ยวนะ”

พลางกระเด้งตัวจากเตียง วางหนังสือคว่ำไว้ใกล้หมอน เดินมาดึงผ้าจากมือของฉัน หายเข้าไปในห้องน้ำสักครู่ก็กลับออกมา

“โทษที ห้องมันเล็กไปหมด แล้วดันทำราวไว้สูง เขย่งไม่ถึงละสิ”

ฉันหน้าร้อนขึ้นอีกหน อยู่กับคนตัวสูง เหมือนตัวเองเป็นแค่เด็กเล็กๆ คนหนึ่ง แต่…สักวันหล่อนอาจได้รู้ ที่ฉันตามหล่อนมา ก็เพราะว่าฉันไม่ใช่เด็กอีกแล้ว

 

หล่อนมีกลิ่นหอมที่…หอมสะอาด…ฉันนึกเกลียดคำว่า “สะอาด” ขึ้นมาจับใจ แต่ก็เป็นความจริงอยู่ดี โดยไม่อาจปฏิเสธได้ เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับผ้าปูนอนเมื่อหล่อนเคลื่อนไหว “ขยับมาอีกสิ พี่ไม่กัดหรอกน่า” หล่อนพูด

นี่หล่อนเป็นคนแบบไหนกัน ฉันนอนหงายตัวแข็งทื่อ ทำราวจะเตรียมตัวหลับ แต่ความนึกคิดกลับยังวนเวียนอยู่กับคนข้างตัว

หล่อนเป็นคนรวย แน่ละ ข้อนั้นฉันคงคิดไม่ผิด แต่หล่อนก็ดูเป็นคนนิสัยดี…จะดีจริงไหม ต้องจริงสิ เพราะทั้งๆ ที่ฉันเป็นแค่เด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง หล่อนยังช่วยฉันมา

หล่อนจะเอาฉันไปเลี้ยง เอาไปอยู่ด้วย

ตาสวยๆ ของหล่อนสีอะไรกันนะ

“ดูอะไร”

จู่ๆ หล่อนก็ลืมตาขึ้นมา ทำเอาฉันเกือบสะดุ้ง และไม่อาจละสายตาได้ทัน

คิดว่าหล่อนอาจจะหลับไปแล้ว หลังจากพับหนังสือวางหัวเตียง ยินเสียงเหมือนเงียบไป ฉันอุตส่าห์ค่อยๆ ตะแคงตัวทีละน้อย และเฝ้าดูหล่อนอยู่นาน

แก้มนั้นช่างดูเนียนใส ขนตาไม่ยาวมากแต่ก็หนาทาบเป็นแพ จมูกโด่งขึ้นสัน ปากหยักเต็มอิ่ม

ฉันสะดุ้งเข้าจริงๆ เมื่อหล่อนยื่นหน้าเข้ามาเกือบชิด

“ยังสงสัยอยู่หรือไง”

“สะ…สงสัยอะไร” ฉันเป็นฝ่ายเลื่อนตัวออกห่างเสียเอง

“ที่คิดว่าพี่เป็นผู้ชายไง”

 

ฉันอยากมีคาถาวิเศษ จะร่ายเสกมนตร์ให้ตัวเองหายตัวไปได้ในบัดเดี๋ยวนั้น ไม่เลย ไม่ใช่คำพูดของหล่อนที่หวังให้ตลกขบขัน ไม่ใช่การยั่วเย้าที่ฟังเหมือนเราเป็นพี่น้องกัน แต่มันคือเบื้องลึกของตัวฉันเอง

ฉันสวมเสื้อผ้าของหล่อนอยู่ เสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงผ้าผูกเอว ปราศจากชุดชั้นใน แต่ประจำเดือนหมดแล้วไม่มีอะไรต้องกังวล

ถ้าเพียงแต่…ถ้า…ฉันจะไม่เป็นตัวฉันเอง

“อ้าว นิ่งไปเลยหรือ?”

หล่อนหัวเราะออกมาเต็มเสียง และคงเป็นเสียงนั้นเองที่กระชากฉันกลับออกมา

ผุดลุกขึ้นนั่ง

“ไค่เยี่ยว” พูดออกไป

พรวดพราดจะลุก หล่อนกลับพูดออกมาว่า

“ภาษาเชียงใหม่น่ารักดีนะ…แปลว่าอะไรกัน”

เกือบสำลักน้ำลายที่กลืนลงไป หล่อนหัวเราะอีก ยื่นมือมาผลักหัวฉันเบาๆ

“รู้หรอกน่า ปวดชิ้งฉ่องก็รีบไปสิ”

ชิ้ง-ฉ่อง – มาอีกแล้วคำแปลกๆ แต่กระนั้นก็ทำให้ฉันนึกอับอายอยู่ในใจ

“อ้าว ทำไมไม่ไปอีก”

“หายแล้ว” ฉันตอบ ล้มตัวนอนลงใหม่อีกครั้ง

แต่หล่อนยังอยู่ใกล้ ใช้ตาสีน้ำตาลมองฉันอีก

“เอาละ ถ้ายังไม่ง่วง เล่าให้ฟังบ้างสิ น้องเรียนหนังสือถึงชั้นไหน พ่อแม่อยู่ที่ไหน ทำไมถึงไปอยู่บนนั้นได้”

ฉันไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องของตัวเองมากนัก ด้วยคำพูด อาจเพราะมีน้อยคนที่อยากจะฟังฉันพูด อีกหลายต่อหลายครั้งก็เรียนรู้ว่า แม้จะพูดความจริงออกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา คำมายาสาไถยต่างหาก มักทำให้เกิดผลลัพธ์เปลี่ยนแปลง

แต่ฉันก็ควรจะบอกกับหล่อนใช่ไหม เหมือนที่เคยพูดไป…กับนางฟ้าระริน กับอีอัมพร…

ยังมีตะกอนที่หนักและเยียบเย็นอยู่ในก้นบึ้งใจ คราวที่ชื่อนังปีศาจร้ายผุดมา

ตาสีน้ำตาลยังมองฉันอยู่

คล้ายหล่อนจะกระหายใคร่รู้

ฉันจำได้ หล่อนเคยถามมาแล้วหนหนึ่ง

ปิดเปลือกตาลง คิดถึงท้องทุ่งแสนกว้างใหญ่ เสียงหัวเราะของใครต่อใคร อ้ายหมารอย เด็กกะออม เด็กผมขอด ก่องแก้ว…

แล้วฉันก็เริ่มต้นเล่านิทาน

 

แต่นี่มันอะไรกัน ฉันรู้สึกถึงกระแสอุ่นๆ บนหน้าผาก มีเสียงสูดจมูกอย่างอึดอัด กับกลิ่นที่คุ้นเคย

ลืมตา พลันกับที่น้ำตาอีกหยดกำลังจะร่วงลงมาช้าๆ

มีน้ำตาของคนแปลกหน้า กำลังจะปลิดหล่นเหมือนผลไม้ทิ้งขั้ว ฉันเห็นมันชัดเจน เป็นภาพที่คงต้องจดจำไปชั่วชีวิต

ฉันอยากสวมเสื้อสีขาวกลับบ้าน

โดยผ่านไปทางถนนทุกสาย

คืนดาวหยดร่วง แตกดวงกระจาย

ทุกข์โศกนอนตายใต้กาลเวลา

อยากดื่มชีวิตสวยงามสักหน

พ้นความยากจน หวังปรารถนา

จะเก็บดอกไม้ใต้ต้นน้ำตา

ถวายบูชาอาณาจักรใจ

ฉันเล่าให้หล่อนฟังในบางส่วนของชีวิต เท่าที่คิดว่าหล่อนพอจะรับรู้มันได้ แต่ฉันก็แต่งเรื่องเติมเข้าไป

ฉันไม่พูดเรื่องครูลินดา ไม่พูดถึงใครๆ ไม่เอ่ยถึงแพรวพลอย หรือคนที่ฉันทุบหัวแล้วจากมา ฉันบอกว่า พ่อแม่รักฉันมาก พวกเขาอยากให้ฉันได้เรียนสูงๆ อยากให้ฉันเป็นหมอ ให้น้องเป็นครู พวกเรามีความฝัน สักวัน เราจะได้อยู่ด้วยกันในบ้านที่ปลูกดอกไม้รายรอบรั้ว

ฉันมาที่นี่เพราะชีวิตล้มเหลว

ฉันเป็นคนเลวเพราะเลือกไม่ได้

ฉันเพียงต้องการบ้านแห่งแสงไฟ

ฉันอยากจะไปสู่คุณงามความดี

“พี่สงสารน้องจังเลย” หล่อนเปล่งเสียงออกมา

น้ำตาของหล่อนหยดลงอีกบนใบหน้าฉัน

ฉันชอบนะ ที่หล่อนโน้มตัวอยู่อย่างนี้ แต่ถึงตอนนี้ หล่อนก็ไม่รู้หรอกว่าฉันยังมีบทกวีต่ออีก

ในหัวของฉัน

แต่ที่ฉันทำ สีดำทั้งสิ้น

เมื่อได้ดื่มกินบางสิ่งที่นี่

ฉันเริ่มกระหาย อยากได้อยากมี

ฉันซ่อนภูตผีเอาไว้ในกาย

แม้บางครั้งนั้นฉันเองไม่รู้

วิญญาณฉันอยู่หรือว่าสูญหาย…

หล่อนมีหยดน้ำตาที่หอมหวานเหลือเกิน ฉันแลบลิ้นออกและเลียดูดกลืนมันเข้าไป หล่อนหยัดร่างขึ้น แล้วกลับนอนลงใหม่ ฉันจินตนาการไปว่า ไม่เหลือเสื้อผ้าบนร่างกายเราสองอีก แต่ตัวฉันกลับกลายเป็นงูตัวหนึ่ง เพื่อจะรัดพันและคอยฉกไล้หล่อนไว้

ตัวฉันเกือบสั่นเมื่อคิดถึงว่า หล่อนจะชอบใต้ซอกเกล็ดเล็กๆ ของฉันไหม ตาของหล่อนวาวใสดั่งเพชรนิลจินดา ช่างล้ำค่าเมื่อได้พบ…