จรัญ พงษ์จีน : บางเรื่องเกี่ยวกับ 3 พรก. แก้เศรษฐกิจเจอพิษโควิด-19 กระหน่ำ

จรัญ พงษ์จีน

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ “พระราชกำหนด (พ.ร.ก.)” ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการแพร่ระบาดของ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” หรือ “โควิด-19”

เด้งเดียว 3 ฉบับ ได้แก่ 1. “พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ” วงเงิน 1 ล้านล้านบาท 2. “พ.ร.ก.ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออกซอฟต์โลนดูแลเอสเอ็มอี” วงเงิน 500,000 ล้านบาท 3. “พ.ร.ก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน” วงเงิน 400,000 ล้านบาท

รวมยอดวงเงินทั้งหมดจาก 3 พ.ร.ก.จากมาตรการเยียวยา-ฟื้นฟูเศรษฐกิจสู้ “โควิด-19” รวม 1.9 ล้านล้านบาท

โดย “พ.ร.ก.” กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านบาท ซอยแยกย่อยออกเป็น 2 กอง “หนึ่งคือ” เพื่อแผนงานด้านสาธารณสุข และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 600,000 ล้านบาท ทั้งภาคประชาชน เกษตรกร และสาธารณสุข

“สองคือ” แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจชุมชน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับพื้นที่

การออก “พระราชกำหนดกู้ยืมเงิน” มีกูรูด้านกฎหมายหลายสำนักท้วงติงว่า พึงตระหนักเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้ว่า รัฐบาลจะมีอำนาจใช้เงินแผ่นดินได้ก็แต่โดยอำนาจตามกฎหมายงบประมาณ มีอยู่ 4 ช่องทาง ได้แก่ รายได้จากภาษีอากร จากเงินกู้ยืม เงินได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ และจากรัฐพาณิชย์

ซึ่ง “พระราชกำหนด” ที่ออกมานั้น “เงินกู้” ยังคลุมเครือ อาจจะยุ่งเป็นยุงตีกันได้ในภายหลัง หากมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

พร้อมๆ กันนั้น เกิดประเด็นร้อนฉ่า ดราม่าขึ้นมาอีกหลายจุด อาทิ นักเศรษฐศาสตร์ระดับหัวแถว-คนแบงก์ชาติเก่าจำนวนหลายคนร่วมลงชื่อ ทำจดหมายเปิดผนึก ขอให้ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” เข้าเกียร์ถอย โดยเน้นเผือกร้อนที่วงเงิน 400,000 ล้านบาท “กองที่ 3” โดยเห็นว่าการรับซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนอาจจะเข้าข่ายขัดกับหลักการ “ธนาคารกลาง” ถ้าจะทำก็โอนไปให้ธนาคารของรัฐรับหน้าที่ไป

เพราะไม่อย่างนั้น ถ้ามีคดีความตามมาย้อนเกล็ดในภายหลัง หากเอกชนรายใดเบี้ยวหนี้ จะต้องฟ้องร้องกันวุ่นวาย และไม่สอดคล้องกับธนาคารกลางที่ต้องรักษาตัวให้เป็นผู้ให้กู้ยืมรายสุดท้าย

หรือกลุ่มอื่นๆ อีกไม่น้อยที่รุมค้าน แม้กระทั่ง 3 ส.ส.หนุ่มจากพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เห็นด้วยในบางจุด ขณะเดียวกัน “คนแบงก์ชาติ” หรือ “กระทรวงการคลังเก่า” อีกกลุ่ม กลับเห็นต่าง ดาหน้ามาสวนควันปืน ชิงพื้นที่ข่าว นัวเนียเป็นงูกินหาง เรื่องของ “นานาจิตตัง” แล้วแต่มุมมอง

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาล “บิ๊กตู่” ไม่เงื้อง่าราคาแพง ฟังเสียงตุ๊กแกร้องทัก ประกาศ “พ.ร.ก.” ลงเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ไปเป็นที่เรียบร้อยแบบปัจจุบันทันด่วน

ดังที่บอกแหละว่า “บิ๊กตู่” หลังสถานการณ์แพร่ระบาด “โควิด-19” โมเมนตัมของกระแสนิยมเหวี่ยงแบบ 360 องศา จากจะไปมิไปแหล่ กลับมาหนังเหนียว แบบปาฏิหาริย์มีจริง เป็นคนละคน

กอปรกับต้นทุนทางสังคม หน้าตักเดิมสูงเป็นทุนอยู่แล้ว แถมยังมีตัวช่วย “สองมาตรฐาน” อุปถัมภ์ค้ำจุนให้อีก

ด้วยประกาารดังกล่าว อะไรต่อมิอะไรดูดีไปหมด เสิร์ฟ “ขี้เป็ด” ให้รับประทาน บอกว่าเป็น “ตับห่าน” ชาวบ้านก็เชื่อ

ฉายหนังอินเดีย “นางเอก” วิ่งรอบต้นไม้ ร้อง “ยาเร หิปาหระ” อยู่แท้ๆ แต่ “บิ๊กตู่” บอกว่าหนังเรื่อง “เจมส์ บอนด์” อำนวยการสร้างโดย “วอเนอร์ บราเธอร์ส” นะเธอจ๋า ผู้คนก็ยังเชื่อ นี่คือสัจธรรมความจริงของสังคมยุคสมาร์ตโฟนที่สะท้อนผ่านอย่างโงหัวไม่ขึ้นอยู่ในชั่วโมงนี้

วกกลับไปที่ “พ.ร.ก. 3 ฉบับ” ที่เข็นออกมารับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 วงเงินเต็มๆ 1.9 ล้านล้านบาท ข่าวคลุกวงในแจ้งว่า หัสเดิม “ทีมบริหาร” ซึ่งข่าวไม่ได้ระบุและโฟกัสว่า “ทีมเศรษฐกิจ” ใช่หรือไม่ ชงงบประมาณเพื่อเยียวยา-ฟื้นฟู เพื่อศึกโควิด-19 วางกรอบวงเงินไว้แค่จิ๊บๆ 2-3 แสนล้านบาท

แต่มีผู้สันทัดกรณี “นอกทำเนียบ” ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม สะกิดสีข้าง “บิ๊กตู่” ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าภาครัฐใช้เงิน 2-3 แสนล้านบาท ดักแด้รับประทานแน่ ประเทศไทยตายหยังเขียดแน่ๆ พร้อมกับยกทฤษฎี “ไฟไหม้ป่า” มาบรรยายสรรพคุณ หวังเปลี่ยนเกม

อุปมาอุปไมยว่า ประเทศไทยและทั่วโลก ขณะนี้โควิด-19 แพร่ระบาดหนัก บักโกรกกันทุกหย่อมหญ้า ตั้งสมมุติฐานเหมือนไฟไหม้ป่าที่เชียงใหม่

รัฐบาลใช้เงินเยียวยา-ฟื้นฟูก้อนปะติ๋วเดียว แค่ 2-3 แสนล้านบาท มันมิต่างอะไรกับเอาปืนฉีดน้ำที่ใช้เล่นช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรืออย่างดีที่สุด แค่สายยาง “ไฟป่า” ย่อมไม่ระคายผิว ดับมิได้

ป่าจะไม่มีอะไรเหลือหลอ น้ำก็เสียไปโดยเปล่าประโยชน์

สรุป “กระรอกตาบอดยังหาถั่วเจอ” นับประสาอะไรกับ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ทั้งเฮง ทั้งเก่งสารพัด

จึงเป็นที่ไปที่มาของวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูสู้ภัยร้ายการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จำแลงแปลงกายซ่อนรูปมาในนาม “3 พ.ร.ก.”

งานนี้มิต่างอะไรกับ “ละครย้อนยุค” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 วัน “คสช.” ปฏิบัติการ “ยึดอำนาจ-ปฏิวัติ”

“พี่น้อง 3 ป.” แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” ทั้ง “ป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี “ป.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี “ป.ป๊อก-อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย

กลับมาป๊ะกันอีกครั้ง และเปิด “วอร์รูม” สถานที่เก่าแถวๆ วิภาวดีรังสิต พร้อมถมเงินก้อนโต 1.9 ล้านล้านบาทลงสู่ภาคประชานิยม

โดยไม่ใช้บริการรัฐมนตรีจาก “พรรคร่วม” และ “พลังประชารัฐ” เลยแม้แต่คนเดียว

ส่งสัญญาณไปไกลว่า เสร็จศึกไวรัสโควิด-19

“บิ๊กตู่” อาจจะรื้อนั่งร้าน “ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่”

แบบ “ปรับใหญ่”