การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันยังคงเป็นฉัน

“มึงมันเป็นเสียอย่างนี้! อีพี่”

พี่โฟตีสีหน้าแสดงความเอือมระอา มือรูดใบผักออกจากก้านอย่างว่องไวไปพลางๆ ในถ้วยกะหล่างข้างหน้ามีผักใบเขียวหลายชนิดปะปนกันอยู่

พ่อซื้อจิ๊นแห้งมาถุงใหญ่ ว่าจะเอาใส่แกงแค และทำต้มยำอีกครั้งวันพรุ่งนี้

ฉันช่วยเด็ดถั่วฝักยาวสี่ห้าฝัก ไม่ใช่งานยากอะไรสักน้อย หากพี่โฟคอยแต่จะ “อบรมสั่งสอน” อยู่ร่ำไป

“มึงอย่าเด็ดยาวมาก” นั่นคือคำพูดก่อนหน้า

“มึงอย่าหักสั้นเกิน” อีกสักครู่ต่อมา

จนฉันอดชักสีหน้าไม่ได้

“จะใช้ไม้บรรทัดวัดเอามั้ยพี่โฟ”

แน่นอนว่า พี่สาวร่วมพ่อจะต้องมองหน้าทันใด

“มึงจะหัวหลึกหัวหลึ่งไปถึงไหนอีพี่ อู้จ๋าแค่นี้ทำเป็นโกรธ”

“ฉันไม่ได้โกรธ” นึกในใจต่อว่า “แต่รำคาญ”

“มึงมันเป็นเสียอย่างนี้! อีพี่” นั่นคือสิ่งที่พี่โฟออกปากกระแทกกระทั้นมา “ตัวกูพูดสิ่งใดไปเพราะใจห่วงมึง อะไรสอนได้กูสอน เห็นเป็นน้องเป็นนุ่ง”

“แค่เด็ดถั่ว…”

“เออ…ก่แค่เด็ดถั่ว แต่มึงเพ่งดูนั่นซิ แต่ละอันใหญ่บ้างน้อยบ้าง ใจจะลอยไปถึงไหน! ตะกี้ให้เด็ดผักแส้ว เหลือก้านมาตั้งเท่าไหร่!”

แต่ให้ตายเถอะ เพ่งมองเท่าไหร่ ฉันยังเห็นถั่วฝักยาวไม่ได้สั้นยาวแตกต่างกันสักเท่าไหร่

พ่อเดินเข้ามาพอดี

“พ่อ” พี่โฟเรียก

“อะหยัง” พ่อตอบรับทันควัน

“มาช่วยเจ้าดูนี้น่อย…อีพ่อว่า ถั่วฝักยาวในถ้วยนี้มันสั้นยาวต่างกันก่อ”

พ่อเดินเข้ามาใกล้ ใช้มือวักถั่วที่เด็ดเป็นท่อนๆ ขึ้นดู

“จะว่าต่างต่าง จะว่าไม่ต่างไม่ต่าง”

“อ้าว ยังไงล่ะอีพ่อ” พี่โฟขมวดคิ้ว

“บางอันสั้น บางอันยาว แต่มีคู่ของมันทั้งยาวทั้งสั้น” พ่อเทถั่วฝักยาวลงในชามตามเดิม “แต่ดูๆ มันไม่หนีกันเท่าไหร่ ทำไมหรือลูก”

“ข้าเจ้าหมายจะสอนอีพี่ ให้มันเด็ดถั่วให้เปียงกัน”

พ่อหัวเราะออกมา

“จะเอาสาระอะไรกับถั่วฝักยาว…โฟเอ๋ย ถ้ามันไม่ต่างกันเป็นคืบเป็นวาจนลงหม้อแกงไม่ได้ บ่ใช่ปัญหาหรอกมั้ง เคี้ยวๆ ไปลงท้องหมดแหละ”

“อีพ่อ!”

พ่อหันมาหลิ่วตาให้ฉัน แล้วเดินผิวปากขึ้นบ้านไป

 

“ก็เป็นกันเสียอย่างนี้!”

พี่โฟกระแทกเสียงพร้อมกับโยนเม็ดหมะบอยลงถ้วยกะหล่างอีกกำมือหนึ่ง สีหน้าแสดงความขึ้งโกรธมากขึ้น

“ออมเป๊าะออมป๋อยจนเป็นลูกเทวดา ทำอะไรไม่ผิด คนทำผิดทุกอย่างคือกูนี่!”

ฉันเงยหน้ามองดูพี่สาวร่วมพ่อบ้าง

“ขนาดกูช่วยเหลือมึงมาขนาดนี้ ยุบเหล้าอยู่ข้างถนนจนกูนึกว่าจะตายวันตายพรุ่ง อุตส่าห์ควักสตางค์พากลับมาบ้าน ความดีสักน้อยยังไม่มีใครเห็นใจกู!”

“พี่โฟ” ฉันส่งเสียงไปเรียบๆ “รู้แล้วว่าเป็นหนี้บุญคุณพี่อยู่ ฉันไม่ได้ลืม…แม่บอกอยู่นี่ ว่าจะตอบแทนพี่อีก”

“เออ! พูดอย่างกับกูเป็นคนอื่น ไม่ใช่คนในบ้านในเรือน!”

ฉันค่อยๆ สำเหนียกขึ้นมาทีละน้อยว่า ที่พี่โฟขุ่นมัว แท้อาจคือน้อยเนื้อต่ำใจ และวูบหนึ่งอดสะท้อนใจไม่ได้ เพราะใช่จะมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างวิธีปฏิบัติ

แม่คือแม่ ถึงที่สุด ห่วงลูกแท้ๆ มากกว่าลูกเลี้ยงลูกติด ขณะที่พ่อก็เออออตามแม่ว่า

กลับมาหนนี้ คำน้อยพ่อ-แม่ยังไม่พูดให้ฉันกระทบกระเทือนใจ ที่เคยบาดหมางใจกันราวมันพัดปลิวไปกับลมฝนหมดสิ้น

แต่กับพี่โฟ ครั้นไต่ถามความเป็นอยู่แล้ว แม่ควักเงินให้แล้ว ดูจะแล้วกันไป ไม่ได้ทำอะไรเอาใจพี่โฟพิเศษสักอย่าง…ต่างกับ-กับฉัน

 

ความพิเศษของคนเรามันเกิดจากอะไรบ้าง จากความรักอย่างนั้นหรือ ฉันอดเก็บเอามาคิดไม่ได้

การเป็นคนพิเศษ มันเป็นสถานะที่ใครๆ ต้องการใช่มั้ย รวมถึงตัวฉันเองด้วยสินะ ไม่น่าจะต่างไป

ใจอดนึกย้อนเปรียบเทียบไม่ได้ เหมือนในชีวิตที่ผ่านมา ตัวฉันเองให้คุณค่ากับคนบางคนต่างจากอีกหลายคน

หรืออย่างตอนนี้…ใครบางคนคงกำลังมีสถานะพิเศษมากกว่าฉัน…มากขึ้นทุกที

 

[คนเดินทาง

เธอเงียบหายไป เหมือนไม่มีเธออยู่ในโลกใบนี้อีกเลย แต่ฉันยังโง่เง่าพอจะเขียนถึงเธออยู่อีก…เราจะเรียกมันว่าอะไรดี สิ่งที่ฉันทำอยู่นี่น่ะ

ไม่รู้แล้ว ช่างมันเถอะ ฉันยังคิดถึงเธออยู่นี่ รู้มั้ย ใครๆ ก็ถามถึงเธอเหมือนกัน เพื่อนๆ ที่มุมเพื่อนฝันพากันถามถึงบทกวีของเธอตั้งหลายคน

เธอไม่อ่านไม่เขียนแล้วเหรอ?

นี่…แต่วันนี้ฉันได้อ่านบทกวีอีกบทหนึ่ง จากคนที่เขียนถึงไม้ไผ่ได้สวยงามเหมือนกัน

เขาเขียนว่า

กอไผ่เสียดสี ตอนที่สายลมพัดแรง

ดวงตะวันสีแดงแฝงความรันทดใจ

ฉันเป่าขลุ่ยวิเวกเดียวดาย

อยากสอบถามก้อนหิน

ได้ยินเสียงน้ำค้างตกมั้ย

เปาะแปะและเย็นฉ่ำจะตาย

ฉันฝากใบไผ่ไปบอกเธอ…

คนเดินทางจ๊ะ ฉันคิดว่าคนคนนี้เขียนบทกวีคล้ายเธอเลยละ มีความเปรียบ มีธรรมชาติ มีใบไผ่กับน้ำค้างด้วยนะ พี่โยเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่างอ่อนไหว ตัวหนังสือของเขาบอบบางหยั่งกับต้นหญ้า ตัวเอนนิดๆ บอบบางเหมือนกับตัวเขาละมั้ง

เขาส่งรูปให้ฉันดูด้วยละ…แต่คงเป็นรูปนี่ละที่ไม่เหมือนเธอ พี่โยเขาใส่แว่น แต่ก็เป็นรูปก้มหน้า กวนโอ๊ยไหมล่ะ ฉันก็เลยส่งรูปยืนหันหลังไปให้เขาดูบ้าง ฮ่าๆ]

 

“อีพี่”

พี่โฟขยุ้มผักลงหม้อแกง แล้วใช้ทัพพีกดผักให้จมลงในน้ำเดือด กลิ่นจั๊กค่าน จิ๊นแห้ง ผักชีฝรั่ง และผักอื่นๆ ที่รวมกันอยู่ในหม้อส่งกลิ่นหอมพุ่งขึ้นเตะจมูก

“มึงอยากอยู่ญี่ปุ่นหรือไต้หวัน”

ฉันนิ่งขึงขึ้นมา ความอยากอาหารที่ผุดขึ้นตามธรรมชาติพลันเหือดหายไป

“ทำไมหรือพี่”

ถามไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้คำตอบดี

“เอ๋า ก่กูจะได้หาคนให้มึงถูก”

“พี่หาให้ตัวเองสิ” ฉันพยายามสะกดใจไว้ “ถ้าได้ผัวแล้วชีวิตดีขึ้น ทำไมพี่ไม่รีบหาล่ะ”

“โอ้ย! กูไม่ได้เหมือนมึงนี่”

“ไม่เหมือนยังไง”

“กูอยู่ของกูได้ เอาตัวรอดได้ แต่ตัวมึงน่ะ” พี่โฟเหลียวกลับมาจ้องหน้า “มึงมันใจใฝ่ไปทางเป็นปู๊เป็นกะเทย…ใช่มั้ยอีพี่”

สายตาพี่โฟราวว่ารู้ทันทุกอย่าง

“กูเลยห่วงมึง กลัวจะหลงทางไปจนกู่ไม่กลับ…อีกอย่าง กูหวังดีกับมึง หากมึงได้ผัวรวยๆ เสีย จะเป็นคุณนายนั่งแหก _ีอ่านหนังสือวันค่ำ ก่เรื่องของมึง”

ใจเจ็บแปลบขึ้นมาอีกแล้ว

“ไหนพี่เคยว่า…” ฉันคิดว่า ครั้งหนึ่งสิ่งที่พี่โฟพูด ก็ยังอยู่ในความทรงจำ “ไม่จำเป็นจริงๆ พี่เองก็จะไม่ขาย_ี แล้วพี่ยังเคยห่วงฉันตอนที่…นึกว่าฉันโดนคนทำ”

“นั่นตอนมึงเป็นละอ่อน! ตอนนี้มึงใหญ่ขนาดนี้ จะขาย_ีจริงๆ กูไม่ห้ามมึงแล้ว ห้ามไปก็ไล้บอย ดีกว่าปล่อยมึงไปสลิดเป็นปู๊…กูจะบอกอะไรให้ แม่มึงยังไม่รู้ ลองแม่มึงรู้…กูก็ช่วยมึงไม่ได้แล้ว”

“ทำไม แม่จะทำอะไร”

“กูจะรู้รึ แม่มึงไม่ใช่แม่กู!”

แม่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบในตอนนั้นเอง และคงได้ยินเพียงประโยคสุดท้ายของพี่โฟ และนั่น ทำให้อีกวันผ่านเราไปโดยที่กลายเป็นว่า แกงแคแทบจะเหลือเต็มหม้อ

 

[เพียงบัว

เราเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเธอ…แต่เราก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะว่า เราจะส่งถึงเธอหรือไม่

เราเพียงแค่อยาก…อยากบอกใครสักคนว่า เราเบื่อหน่ายชีวิตห่าเหวนี้เต็มทีแล้วละ แต่นั่นละ…เราก็แค่คนอ่อนแอโง่ๆ คนนึง

คนเราเกิดมาเพื่อจะมีชีวิตหนึ่ง…เพื่ออะไรกันหรือ

…เพียงบัว เมื่อไหร่กัน คำถามของเราจะมีคำตอบ เมื่อไหร่ ที่เราเองจะได้หยุดหาคำตอบให้กับตัวเอง…]

 

แสงจันทร์รุบหรู่อยู่เหนือกอไผ่ ฉันนั่งในบ้านไม้ที่ยินเสียงน้ำไหลจากฝายทิศตะวันออก ได้กลิ่นหอมของดอกคะมอกลอยมาจางๆ เสียงพ่อกรนครืดคราดดังมาจากในห้องนอน พร้อมกับเสียงพี่โฟพลิกตัวจนไม้กระดานลั่น ฉันพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุด จุดเทียนเล่มเล็กๆ วางบนจานสังกะสีที่แอบหยิบมาจากครัวไฟ จรดปลายปากกาลงในกระดาษสมุดเล่มใหม่

แต่เขียนไป หัวใจก็ลบไป ฉันคิดถึงเพียงบัวมากเพียงไร ก็ยิ่งชังตัวเองมากเท่านั้น ฉันยังคงเป็นฉัน แปลกแยกกับโลกใบนี้ และรู้สึกเสมอว่าไม่เคยมีที่จะไป