รายงานพิเศษ / ‘บิ๊กตู่’ แข็งโป๊ก!! จากตัดงบฯ กองทัพ ถึงจัดโผทหาร เสือป่าขยับ รับกระแส ‘บิ๊กเล็ก’ ข้ามห้วย จับตา ‘พี่ใหญ่ทัพไทย’ จับอาการ ‘บิ๊กแดง-บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’ และทีม ‘บิ๊กกบ’

รายงานพิเศษ

 

‘บิ๊กตู่’ แข็งโป๊ก!!

จากตัดงบฯ กองทัพ ถึงจัดโผทหาร

เสือป่าขยับ รับกระแส ‘บิ๊กเล็ก’ ข้ามห้วย

จับตา ‘พี่ใหญ่ทัพไทย’

จับอาการ ‘บิ๊กแดง-บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’

และทีม ‘บิ๊กกบ’

 

การมีอำนาจเบ็ดเสร็จของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการสั่งตัดงบประมาณกองทัพมากถึง 20-30% กำลังถูกจับตามองว่าจะส่งผลถึงการแต่งตั้งโยกย้ายทหารที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้

ส่อเค้า พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ที่เป็น รมว.กลาโหมด้วย จะยึดอำนาจ ผบ.เหล่าทัพอีกครั้ง

จากนโยบายการตัดงบประมาณปี 2563 ทุกกระทรวง 10-20% เพื่อนำเงินคืนคลัง มาแก้ปัญหาโควิด-19

ที่ทุกเหล่าทัพตัดมารอบแรกราวๆ 15% แต่ พล.อ.ประยุทธ์สั่งการให้ตัดเพิ่มอีกให้มากกว่า 20% เรียกได้ว่าเกินกว่าที่สั่งการตามนโยบายรัฐบาล

แถมเจาะจงให้ชะลอโครงการเรือดำน้ำจีน ลำที่ 2-3 ของกองทัพเรือ ที่บรรจุใน พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 แล้วออกไปก่อน แถมไม่บอกด้วยว่าจะให้ชะลอไปถึงปีไหน งบฯ ปี 2564 จะได้ทำสัญญาต่อเรือหรือไม่

ส่งผลให้กองทัพเรือพิจารณาตัดงบประมาณอีกครั้ง คราวนี้มากถึง 33% รวม 4,100 ล้านบาท มากกว่าทุกเหล่าทัพ

เพราะตัดงบฯ การสร้างที่จอดเรือดำน้ำ ระบบซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ การซ่อม ฮ.ปราบเรือดำน้ำ ระบบเชื่อมต่อข้อมูลเรือรบกับเครื่องบินและทางบก ที่ส่งผลต่อเรือดำน้ำลำแรกจากจีน ที่จะส่งมอบปลายปี 2566

ไม่แค่นั้น ยังชะลอการสร้างบ้านพัก 64 หลังของกำลังพล ทร. ของทัพเรือภาค 2 สงขลาอีกด้วย

พร้อมกับมีเสียงสะท้อนเชิงตัดพ้อออกมาว่า รัฐบาลสั่งให้ทหารเรือทำอะไร ก็ทำทุกอย่างเต็มที่ ทั้ง State Quarantine ที่อาคารรับรอง ทร.สัตหีบ ที่รับคนไทยมาดูแล 4 ผลัดแล้ว ทำจนกลายเป็นโมเดลที่ทุกที่นำไปใช้ โดยที่ ทร.ต้องแก้ปัญหากับชาวสัตหีบเอง กับกำลังพลที่ต้องเสียสละมาปฏิบัติหน้าที่ มาต่อเนื่องหลายเดือน

แต่ที่สุดทหารเรือถูกตัดโครงการสำคัญอย่างเรือดำน้ำ ที่ ทร.ถูกตัดงบฯ มากที่สุด

ส่วนกองทัพอากาศ ตัดงบฯ 24% กว่า 3 พันล้านบาท รวมทั้งการชะลอโครงการซื้อเครื่องบินฝึก T-50TH จากเกาหลีใต้ ราว 2.5 พันล้าน และตัดงบฯ การซ่อมปรับปรุงเครื่องบินลำเลียง C-130

ขณะที่กองทัพบกโดนตัดงบฯ ถึง 30% โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต้องเข้า ครม. ทั้งรถถัง VT4 และรถเกราะ VN1 จากจีน

รวมทั้งที่ไม่ต้องเข้า ครม. อย่างรถเกราะ Stryker ที่ซื้อในระบบความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐอเมริกา หรือ FMS ล็อต 2 อีก 50 คัน 4.5 พันล้านบาท ที่สหรัฐแถมให้ 30 คัน ก็ชะลอไปปี 2564

เรียกได้ว่าสถานการณ์โควิด-19 และกระแสสังคม ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์สั่งตัดงบฯ ทหารโดยไม่ต้องเกรงใจ

จนกลาโหม เหล่าทัพ รวมถูกตัดงบฯ ปี 2563 ถึง 1.8 หมื่นล้านบาท เป็นของ ทบ.ถึง 1 หมื่นล้านบาท ที่ตัดทั้งรถถัง ปืนใหญ่-เรดาร์-โครงการต่างๆ ถึง 26 โครงการ

ด้วยเพราะอำนาจในมือ และการเป็นนายกฯ อดีตทหาร ที่เป็นหัวหน้า คสช.มาก่อน ที่ทำให้ ผบ.เหล่าทัพชุดนี้เกรงใจ ไร้อำนาจในการต่อรองใดๆ กับ พล.อ.ประยุทธ์

คาดกันว่าจะรวมทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ที่มีข่าวสะพัดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะแผลงฤทธิ์ด้วย

โดยเฉพาะการที่ พล.อ.ประยุทธ์เรียกตัวบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. มาช่วยงานที่ ศบค. ทำเนียบรัฐบาล

และให้อำนาจบทบาทอย่างมากในการประสานสั่งการ ประหนึ่งตัวแทน พล.อ.ประยุทธ์ ผอ.ศบค.

ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ณัฐพลเป็นน้องรัก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้งาน มอบหมายงาน ไว้วางใจมาตั้งแต่สมัยเป็น ผบ.ทบ. จนเป็นหัวหน้า คสช. และนายกฯ

จนทำให้มีข่าวสะพัดว่า โยกย้ายสิงหาคม-กันยายนนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะส่ง พล.อ.ณัฐพลข้ามห้วยจากรอง ผบ.ทบ. ไปเสียบยอดเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ

ทั้งนี้เพราะ พล.อ.ณัฐพลมีอาวุโสมาก เป็นรอง ผบ.ทบ. ครองอัตราจอมพลมาจะ 2 ปีแล้ว ตลอดยุคของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. 2 ปี ช่วยงาน ทำงานแทนในหลายเรื่องมาตลอด จนถูกเรียกเป็น ผบ.ทบ.คนที่ 2

และในฐานะที่เป็นเพื่อนเตรียมทหาร 20 ของ พล.อ.อภิรัชต์อีกด้วย

แต่หากจะให้ พล.อ.ณัฐพลเป็นรอง ผบ.ทบ.ต่ออีกเป็นปีที่ 3 จนเกษียณกันยายน 2564 ก็จะไม่ยุติธรรม อีกทั้งว่าที่ ผบ.ทบ.ใหม่ ก็เป็นรุ่นน้อง ตท.22 ด้วย

แต่จะให้ พล.อ.ณัฐพลเป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็น “ทหารคอแดง” ไม่ได้จบหลักสูตรการฝึกของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ทม.รอ. 904)

อีกทั้ง พล.อ.อภิรัชต์ได้วางตัวบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. ไว้เป็น ผบ.ทบ.แทนแล้ว

เพราะ ผบ.ทบ.จะต้องทำหน้าที่ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 คุมทหารคอแดง เช่นเดียวกับที่ พล.อ.อภิรัชต์เป็นมาด้วย

พล.อ.ณรงค์พันธ์ยังเป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) เป็นคนที่ 2 ของ ทบ. ต่อจาก พล.อ. อภิรัชต์อีกด้วย

ขณะที่ พล.อ.ณัฐพลน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้โตมาในสายคอมแมนด์ หน่วยรบ ที่ต้องผ่านการเป็นผู้พัน ผู้การ ผบ.พล. แม่ทัพภาคมาก่อน แต่โตมาสายบุ๋น ฝ่ายอำนวยการ คิดวางแผนต่างๆ ที่ยังคงเป็นธรรมเนียมเดิมของคนที่จะเป็น ผบ.ทบ. ที่ต้องมาจากสายบู๊ด้วย

จึงมีข่าวสะพัดแรงใน บก.ทัพไทยว่า พล.อ.ณัฐพลข้ามมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด

อีกทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่จะยาวนานข้ามปี จะทำให้คนที่เป็น ผบ.ทหารสูงสุด จะต้องมาช่วยงาน ศบค. และทำหน้าที่หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ต่อจากบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ที่จะเกษียณ 30 กันยายนนี้ด้วย

เมื่อนั้น หากยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ก็จะต้องมาทำหน้าที่หัวหน้า ศปม.ต่อด้วย

ซึ่ง พล.อ.ณัฐพลทำงานที่ ศบค. และทำหน้าที่สำคัญในส่วนการกำหนดแนวทางต่างๆ ของ ศปม. ที่ พล.อ.พรพิพัฒน์เป็นหัวหน้าด้วย

หรือแม้จะไม่ได้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินถึงตอนนั้น แต่สถานการณ์โควิด-19 ก็ยังคงไม่ปกติ จึงมีแนวโน้มที่ พล.อ.ประยุทธ์จะดัน พล.อ.ณัฐพลกุมบังเหียนต่อ ด้วยการส่งข้ามไปเสียบยอดเป็น ผบ.ทหารสูงสุด

ทว่าเป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.อภิรัชต์ได้วางตัวบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ตท.21 ไว้แล้ว

ตั้งแต่การส่ง พล.อ.เฉลิมพลทหารคอแดงใน ฉก.ทม.รอ.904 ข้ามจาก ทบ.ไปเป็นเสนาธิการทหาร และรู้กันในบรรดา ผบ.เหล่าทัพว่า วางตัว พล.อ.เฉลิมพลให้เป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ไว้แล้ว

นั่นหมายถึงว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์จะส่ง พล.อ.ณัฐพล สายตรงนายกฯ มาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ก็จะกระทบกับ พล.อ.อภิรัชต์

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์อาจมองว่า นายทหารที่จะเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารคอแดง ซึ่งเป็นข้อกำหนดใหม่ ในยุคหลังที่ พล.อ.อภิรัชต์มาเป็น ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

แต่ที่ผ่านมา พล.อ.พรพิพัฒน์ก็แต่งตั้ง พล.อ.เฉลิมพลให้เป็นเสนาธิการ ศปม. ช่วยงาน เพราะเน้นการทำงานเป็นทีม เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.เฉลิมพลได้เตรียมรับไม้ต่อไว้

ทั้งการไปประชุม ศบค.ในบางครั้ง และลงพื้นที่ตรวจงานด้วยทุกครั้ง รวมทั้งมอบหมายให้ลงพื้นที่ชายแดนใต้ ตรวจงานที่ด่านชายแดนด้วย

กล่าวได้ว่า บรรยากาศใน บก.ทัพไทย เริ่มเข้มข้นแล้ว

เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์จะดัน พล.อ.ณัฐพล ข้ามห้วยมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุดจริง ก็ต้องเจออีกหลายคำถาม

เพราะหากไม่ยึดหลักว่าต้องเป็นทหารคอแดง นายทหารที่อยู่ใน บก.ทัพไทยหลายคน ก็ล้วนมีสิทธิ์

ทั้งนี้เพราะที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์ พูดคุยกับ พล.อ.พรพิพัฒน์ รวมทั้งบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหมแล้ว ในเรื่องการวางตัว พล.อ.เฉลิมพลเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ไว้แล้ว

พล.อ.พรพิพัฒน์และนายทหารใน บก.ทัพไทย ก็ล้วนทำใจยอมรับในเงื่อนไขของ พล.อ.อภิรัชต์แล้ว

อีกทั้งการที่ พล.อ.เฉลิมพลมีอายุราชการถึงปี 2566 จนทำให้นายทหารใน บก.ทัพไทย หมดโอกาสที่จะเป็น ผบ.ทหารสูงสุดไปหลายคน

แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์จะดัน พล.อ.ณัฐพลข้ามมา ก็ต้องมาพิจารณาเทียบกับคนใน บก.ทัพไทย

โดยเฉพาะบิ๊กชู พล.อ. ชูชาติ บัวขาว รอง ผบ.ทหารสูงสุด เตรียมทหารรุ่น 20 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ณัฐพล

แถมทั้งถูกส่งจาก ทบ. จากรอง เสธ.ทบ. มาเป็นรอง เสธ.ทหาร ที่ บก.ทัพไทย จนขึ้นเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด จ่อไว้ก่อนแล้ว

อีกทั้งเป็นที่รู้กันในเพื่อน ตท.20 ในเวลานั้นว่า ส่ง พล.อ.ชูชาติข้ามมาเพื่อมาเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุด แยกกันเดิน แยกกันโต

แต่ต่อมาสถานการณ์เปลี่ยน พล.อ.อภิรัชต์ ส่ง พล.อ.เฉลิมพล ทหารคอแดง ข้ามฟากมาเป็น เสธ.ทหาร จ่อขึ้น ผบ.ทหารสูงสุด

พล.อ.ชูชาติจึงหมดหวัง เพราะเกษียณกันยายน 2564 แล้ว ไม่แค่นั้น ยังทำให้บิ๊กเบิร์ด พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รอง เสธ.ทหาร ตท.20 อีกคนหมดโอกาสไปด้วย

ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง พล.อ.ชูชาติคนในก็มีสิทธิ์ชิงเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุด กับ พล.อ.ณัฐพล คนนอกจาก ทบ.

ที่มากกว่านั้นคือ หากส่ง พล.อ.ณัฐพลที่เกษียณ 2564 ข้ามมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด แล้ว พล.อ.เฉลิมพลที่เกษียณ 2566 รอไปก่อนได้

แต่บางกระแสก็หนุนให้ พล.อ.เฉลิมพลข้ามกลับไปเป็น ผบ.ทบ.เลย เพราะการเป็นนายทหารม้า มาดนิ่งเด็ดขาด ดูเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว พล.อ.ณรงค์พันธ์นั่งแท่นว่าที่ ผบ.ทบ.แน่นอนแล้ว และจะได้รู้กันว่า เห็นเงียบๆ นิ่งๆ แต่บทเอาจริง พล.อ.ณรงค์พันธ์ ทหารวงศ์เทวัญคอแดงผู้นี้ แรงกว่า พล.อ.อภิรัชต์เลยทีเดียว

แต่แม้จะรู้ดีว่า ถ้าไม่ใช่ พล.อ.ณัฐพลเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ก็ต้องกลับมาเป็น พล.อ.เฉลิมพลเหมือนเดิมก็ตาม

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.พรพิพัฒน์จะพร้อมรับทุกสถานการณ์ ในการให้ พล.อ.ชูชาติได้ช่วยทำงานใน ศปม. ในฐานะรองหัวหน้า ศปม. และ พล.อ.เฉลิมพลในฐานะ เสธ.ศปม. และลงพื้นที่ตามคำสั่งนายกฯ ด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.พรพิพัฒน์เน้นการทำงานเป็นทีม ในนามทีมทัพไทย เพื่อที่จะช่วยกันระดมสมอง ช่วยกันคิด ทั้งในส่วนงานปกติของ บก.ทัพไทย และงานของ ศปม.

เพราะภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจแน่นอนว่าพรุ่งนี้และวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น พล.อ.พรพิพัฒน์ผู้นำกองทัพไทย จึงจะต้องบริหารจัดการให้ก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์ในสภาวะสำคัญๆ ของบ้านเมืองในหลายๆ มิติ ทั้งในส่วนของ บก.ทัพไทย และ ศปม.

ด้วยความเป็นทหารอาชีพ ที่มีความสุขุมรอบคอบ ประเภทพูดน้อยต่อยหนัก แต่มีความเด็ดขาดและชัดเจนในการสั่งการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยยึดหลักผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นสำคัญ

นี่เองจึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจตั้ง พล.อ.พรพิพัฒน์เป็นหัวหน้า ศปม.

จากที่เดิมใครๆ ก็คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตั้ง พล.อ.อภิรัชต์เป็นหัวหน้าทีมฝ่ายความมั่นคง

 

พล.อ.พรพิพัฒน์จึงได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้กำกับดูแลงานด้านความมั่นคงในสถานการณ์โควิด-19 และเข้าคลี่คลายปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วยการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุดและเป็นระบบ โดยตั้ง พล.อ.ปริพัฒน์เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ คุมทั้ง 2 สนามบิน แบบไม่อยู่ที่สนามบินทุกวัน แก้ปัญหาคนไทยกลับจากต่างประเทศ ที่มีทุกวัน และต้องนำไปกักตัวใน State Quarantine จนได้รับคำชื่นชมว่าสามารถบริหารจัดการระบบได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ พล.อ.พรพิพัฒน์เน้นการทำงานเป็นทีม ที่มีความใกล้ชิด อบอุ่น ความสามัคคี และทีมเวิร์ก

รับฟังทุกความคิดเห็น โดยทุกงานที่สำคัญจะมีการประชุมบอร์ดผู้บริหารเสมอ

ที่ บก.ทัพไทย พล.อ.พรพิพัฒน์เปรียบเป็นพี่ใหญ่ เพราะเป็นรุ่นพี่ ตท.18 ที่มีความสุขุม เยือกเย็น แต่เด็ดขาด ไม่วูบวาบหวือหวา แต่เด็ดขาด ภายใต้ความนิ่งและ Leadership

แม้จะยังไม่รู้ว่าปลายทางจะจบลงเมื่อใด แต่ พล.อ.พรพิพัฒน์ยังคงทุ่มเททุกสรรพกำลังที่มีอยู่ เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตด้วยความปลอดภัยมากที่สุด

เพื่อเป็นการฝากชื่อ ส่งท้ายชีวิตรับราชการทหาร ที่กำลังจะเริ่มนับถอยหลังในอีกไม่นานนี้

ทั้งการช่วยแก้ปัญหาชาติในยามวิกฤต ทำสงครามกับข้าศึกที่มองไม่เห็น

และต้องแก้ปัญหาที่มองเห็น ในการจัดวางตัวนายทหารที่จะขึ้นมาดูแลกองทัพ ดูแลความมั่นคงและประชาชน ไม่ให้เกิดปัญหา ก่อนที่จะโบกมือลากองทัพด้วย

ขณะที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ใช้ไม้แข็งกับกองทัพมากขึ้น ไม่ต้องเกรงใจ เพราะ ผบ.เหล่าทัพเป็นน้องๆ ทั้งนั้น ที่ไม่กล้าแย้ง กล้าค้าน ก็ยิ่งทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ที่ต้องเปลี่ยนทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด, ผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ. และ ผบ.ตร. ในเร็วๆ นี้น่าจับตามองยิ่ง

  เพราะจะเป็นการคุมอำนาจกองทัพเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่การเลือก ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ ยกแผงนี่เลยทีเดียว