บทสนทนาทางโทรศัพท์ กับ “บอย โกสิยพงษ์” : ข่าวดีมีอีกเยอะ งานฟื้นฟูหัวใจ ในช่วงจิตตกเพราะโควิด-19

“เพิ่งหัดทำฮะ” บอย โกสิยพงษ์ ส่งเสียงมาทางโทรศัพท์ อันเป็นทางเลือกในการสนทนาระหว่างที่เราทุกคนควรมี Social Distancing ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักอย่างที่เป็นอยู่

เรื่อง “เพิ่งหัด” ที่เขาพูด คือเรื่อง “ข่าวดีมีอีกเยอะ” รายการที่เขานำเรื่องโน้น นั้น นี่ มาบอกเล่าให้แฟนๆ ฟังผ่านเพจ Boyd Kosiyabong ของเขา ด้วยหวังว่าจะทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกชื่นใจขึ้นมาบ้าง

เพราะในสถานการณ์ของโรคระบาดอันรุนแรง “เราก็ยังได้เห็นน้ำใจคนไทย”

และคิดด้วยว่า “เรื่องเหล่านั้นควรจะถูกเล่า”

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร้านหมูทอดเจ๊จงที่ทำข้าวกล่องมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลหลายแห่ง เรื่องของร้านอาหารที่ทำข้าวไข่เจียวแจกให้คนที่กำลังทุกข์ยาก หรือธุรกิจเล็กๆ อื่นๆ ที่เจ้าของกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อจะประคับประคองให้อยู่รอด

“ช่วงเวลานี้ผมว่าช่วยอะไรได้ก็ควรช่วยกัน”

“เผื่อคนที่ลำบากอยู่ได้เห็น เขาก็ไปรับของที่นั่นได้ฟรี คนที่ยังโอเคอยู่ก็สามารถไปสนับสนุนร้านนั้นได้ หรือเมื่อโควิดจบแล้ว ก็ช่วยไปกินร้านเหล่านี้กันหน่อย เพราะเขาจิตใจดี”

“ทุกวันนี้ผมอ่านข่าวในอินเตอร์เน็ต ในเฟซบุ๊กทุกวัน อ่านมากแล้วก็จิตตก โอเค เราอาจจะอยู่ในจุดที่ยังพอรับได้กับการที่ไม่มีรายได้เข้ามาอีกหลายเดือน แต่หลายคนก็ไม่ได้อยู่ในจุดนั้น ดังนั้น ถ้าเราทำประโยชน์อะไรให้เขาได้ ก็อยากจะทำ”

ใครมีเงินทองพอจะแบ่งปัน ก็อาจทำในรูปของการบริจาค และจะดียิ่งไปกว่านั้น ถ้าใครถนัดด้านไหน ก็เอาความสามารถด้านนั้นมาช่วยด้วย

“ผมมักจะเปรียบเทียบว่าประเทศไทยก็เหมือนเรือลำหนึ่งที่เจอมรสุมอยู่ ถ้าเลาะไปถึงฝั่งได้ คือทุกคนที่มีความสามารถในการทำอะไร ต้องมาช่วยเหลือกัน”

“อาจจะคิดเห็นแตกต่างกันที่ผ่านมา ไม่เป็นไร พักเรื่องนั้นไว้ก่อน เอาให้ถึงฝั่งกันก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้เอาตัวรอดพร้อมๆ กันทั้งประเทศดีกว่า เพราะตอนนี้ จะใหญ่ จะเล็ก จะสูง จะดำ ทุกคนอยู่บนกระดานแล้ว แล้วทุกคนหนักเหมือนๆ กันแหละ เพียงแต่หนักในเลเวลไหน”

เขายังบอกอีกว่า กับงานชิ้นนี้ที่ออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 11.00 น. “จริงๆ แล้วผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลย”

“คาดหวังแค่ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง โอเค ปกติเราแต่งเพลงได้ เราก็ได้แต่งเพลง “จะไม่ทิ้งกัน” ไปแล้ว นั่นคือการให้กำลังใจอย่างหนึ่ง แล้วเราเองก็พอมีชื่อเสียง มีคนฟอลโลว์เราในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้าเราใช้การฟอลโลว์นี้มาสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น เล่าเรื่องดีๆ ให้เขาฟัง สนับสนุนคนที่ทำสิ่งที่ดี หรือช่วยโปรโมตร้านต่างๆ มันก็คงมีประโยชน์มากกว่าเรานั่งเฉยๆ”

เขายังบอกด้วยว่า กับภาวการณ์อันรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้เขาได้เห็นและได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง อีกทั้งยังเชื่อว่าไม่ใช่เพียงแค่เขา แต่โรคระบาดนี้น่าจะเปลี่ยนวิธีคิดให้ใครอีกหลายๆ คน ทั้งเรื่องธรรมชาติที่กลับมาฟื้นตัว หลังไม่มีมนุษย์รุกเข้าไปหา

“เราจะเห็นท้องฟ้าที่ใสขึ้น เห็นฝุ่นน้อยลง เหมือนธรรมชาติกำลังให้เราเรียนรู้ขนานหนัก เพื่อจะได้มาคิดกันว่าในอนาคตเราจะอยู่กับธรรมชาติยังไง”

นอกจากนั้น เขาก็ยังได้มุมคิดเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง

“ในแง่ของผม ผมไม่ได้แบกอะไรเยอะ เป็นโปรดักชั่นเฮาส์ ทำเพลงโฆษณา ทำคอนเสิร์ต ซึ่งพอแบกน้อย มันทำให้เราเห็นว่า เออ…มันก็เบาตัวนะ คนที่แบกเยอะ เขาก็ต้องเดือดร้อนด้วยเหมือนกัน ดังนั้น ตามที่ในหลวง ร.9 พระองค์ท่านทรงสอนไว้ว่าให้อยู่อย่างพอเพียง เป็นเรื่องที่จริง คนอื่นเขาอาจจะรับได้แบบใหญ่ๆ เขาก็ทำไป แต่เราเอาเท่าที่เรารับไหว ก็พอ”

“แล้วต่อไปเราจะต้องเห็นคุณค่าของผู้อื่นให้มากขึ้น ว่าถ้าไม่มีเขา ไม่มีคุณหมอ ไม่มีพยาบาล ไม่มีพนักงานกวาดถนน ไม่มีคนโน้น คนนี้ ไม่ได้ เพราะเราอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้หรอก เวลาที่ทุกอย่างกลับเข้ามาในสภาพปกติแล้ว เราต้องเห็นคุณค่าของทุกคนที่ทำงานในโลกนี้ และเราก็ต้องแบ่งปันกัน ไม่ใช่อยู่เพื่อตัวเองคนเดียว”

ถ้อยคำประเภทน้ำขึ้นให้รีบตัก มือใครยาวสาวได้สาวเอา โอกาสมาต้องรีบคว้าไว้ อะไรทำนองนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องนำมาทบทวน เป็นแทนที่จะคว้าไว้เองหมด เราจะแบ่งปันให้คนอื่นยังไง น่าจะดีกว่า-เขาว่า

“เพราะถึงเวลา ถ้าไม่มีคนขายอาหาร ไม่มีคนจับปลามาให้ แล้วเราจะกินอะไร ไม่มีคนทำหน้ากากขาย เราก็แย่ หลังจากนี้เราจึงต้องจับมือกันให้มากขึ้น”

“เราจึงต้องสามัคคี ช่วยกันเท่าที่เราจะช่วยได้ ช่วยในหน้าที่ที่เราเป็น เพื่อเอาตัวรอดให้ถึงฝั่ง แล้วไม่ใช่เอาตัวรอดคนเดียว”

“แต่ต้องเอาทั้งเรือนี้ให้รอดด้วยกัน”