บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ / ดราม่าเงินเยียวยา 5,000 คุณหมอผู้สุภาพ กับ ‘แก๊งขวิด’ ที่หยาบคาย

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ดราม่าเงินเยียวยา 5,000

คุณหมอผู้สุภาพ

กับ ‘แก๊งขวิด’ ที่หยาบคาย

 

หลังจากชาติยุโรปและอเมริกาที่ถือว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้วมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มหาศาลจนเหลือเชื่อ ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อแต่ละประเทศหลักแสนไปจนถึงหลายแสน ตายอีกหลักหมื่น จำนวนผู้ตายต่อวันหลักพัน ปริมาณผู้ติดเชื้อต่อวันหลักหมื่น ก็ทำให้ฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาลในประเทศไทยหมดหนทางที่จะหาข้อตำหนิ เพราะมีตัวเลขเป็นหลักฐานให้เห็นชัดเจน

ประเทศประชาธิปไตยแถวหน้า ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี มีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตอยู่อันดับ top 5 ของโลก ก็เลยทำให้เสียงด่า “ผู้นำโง่” ในประเทศไทยแทบจะเงียบไปเลย

แม้จะมีบางคนพยายามบอกว่ารัฐบาลหมกเม็ดตัวเลข แต่ก็ตีไม่ขึ้น เพราะระบบสาธารณสุขของไทยนั้นแข็งแกร่งและโปร่งใสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากความเสียสละของบุคลากรสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง

เมื่อหมดช่องที่จะโจมตีเรื่องการควบคุมการระบาดก็ต้องหาช่องอื่น เมื่อพยายามหาช่องอื่น ก็ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็น “ตัวตลก” ทางความคิดเพราะใช้อารมณ์ส่วนตัวเป็นหลัก

ความหน้ามืดตามัว จิตปกคลุมด้วยความเกลียดชัง ทำให้คนบางจำพวก ที่แม้จะเรียนจบระดับปริญญาจากเมืองนอก สามารถกลายเป็นคน “อยู่ในน้ำครำต่ำตม” เต็มไปด้วยความหยาบคายและโมหจริต ที่สะท้อนออกมาทางคำพูด

อันแสดงให้เห็นว่าระดับการศึกษาไม่ช่วยขัดเกลาจิตใจคน

 

ขาประจำแก๊งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนในเครือข่ายทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่เหลือก็เป็นแก๊งสาวกสีส้ม โดยเฉพาะครอบครัวพ่อ-ลูก (ที่ชอบใช้คำพูดหยาบคายผ่านทางโซเชียลมีเดีย) ที่เคยถูกศาลเรียกไปเตือน

เมื่อด่ารัฐบาลโดยตรงไม่ได้ ก็ต้องเลี้ยวไปด่า นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 หรือ ศบค. จิตแพทย์ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีจนมีแฟนคลับมากมายเพราะชอบในลีลาการแถลงข่าวที่เข้าใจง่ายและไม่เครียด จนเกิดคำพูดฮิต “เกลียดโควิด ติดโฆษก”

แก๊งขวิดหมอดาหน้าออกมาโจมตีโฆษกท่านนี้ กล่าวหาว่าใช้เวลาหลวงแถลงผลงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างว่าโฆษก ศบค.ไม่ใช่โฆษกรัฐบาล ดังนั้น ไม่มีหน้าที่มาแถลงผลงาน พล.อ.ประยุทธ์ พูดคล้ายๆ กับว่าต้องแถลงแค่ว่าวันนี้มีคนติดเชื้อกี่คน ตายกี่คนก็พอ (ซึ่งก็คือทำตัวเผด็จการมาสั่งโฆษกให้แถลงอย่างที่ตัวเองอยากฟัง) โดยที่ไม่ได้ศึกษาว่าหน้าที่ของศูนย์นี้คืออะไร

ศูนย์นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ครบวงจร ทุกอย่างเกี่ยวกับโควิด-19 ต้องรวมที่ศูนย์นี้ และ พล.อ.ประยุทธ์ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์นี้อีกตำแหน่งหนึ่ง

ดังนั้น เมื่อมีการแถลงเรื่องโควิด-19 ก็ต้องพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าได้ทำอะไรหรือสั่งการอะไรไปบ้าง

หลังจากถูกโจมตี นพ.ทวีศิลป์ได้ออกมาชี้แจงอย่างสุภาพ สะท้อนถึงจิตใจที่สูงและมีวุฒิภาวะว่าไม่ได้มีเจตนาจะเชื่อมโยงการเมือง แต่ที่ต้องแถลงหลายเรื่องก็เพราะ ศบค.เป็นศูนย์รวมของทั้งหมดถึง 8 ศูนย์ ที่จะส่งข้อมูลแต่ละด้านเข้ามาเพื่อสื่อสารถึงประชาชน ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ มาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชน เรื่องหน้ากากอนามัย การควบคุมสินค้า การเดินทางเข้า-ออกต่างประเทศ เป็นต้น

ถ้าคิดในแง่ปกติของการบริหารบ้านเมือง หากไม่มีการประชาสัมพันธ์ว่ารัฐบาลทำอะไรก็จะถูกโจมตีอีกว่าไม่ทำอะไร ไม่สื่อสารให้ประชาชนรู้ ซึ่งไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกฯ หรือนายกฯ ชื่ออะไร ก็ต้องทำแบบเดียวกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์เฉพาะเช่นนี้

เนื่องจากเป็นโรคระบาดอันตรายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนอย่างสูง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องจำกัดเสรีภาพในกิจกรรมชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างมาก ซึ่งจำนวนไม่น้อยอาจไม่พอใจเพราะไม่เข้าใจ

ดังนั้น รัฐบาลก็ต้องหากลยุทธ์ทำให้ประชาชนอยากร่วมมือ ด้วยเหตุนั้นบทบาทของโฆษกจึงมีความสำคัญ

 

บางคนในแก๊งนี้หยุมหยิมหาเรื่องด่า กับเพียงแค่เรื่องที่ นพ.ทวีศิลป์แสดงความเห็นว่าเงินเยียวยาที่รัฐบาลช่วยเหลือคนละ 5,000 บาทต่อเดือนนั้น หากเป็นคนที่อยู่ขอบชายแดนหรือต่างจังหวัด ถ้ามีผักสวนครัว เงินจำนวนนี้ก็น่าจะเพียงพอ ซึ่งก็ชัดเจนว่าคุณหมอไม่ได้บอกว่าเงินจำนวนนี้จะเพียงพอสำหรับทุกคน แต่อาจพอสำหรับคนบางกลุ่ม

เท่านั้นละ แก๊งนี้พ่นวาจาหยาบคายใส่คุณหมอทวีศิลป์ว่า “อย่ามาเสือกคิดแทนชาวบ้านว่ามันเพียงพอถ้ามีสวนครัว” อันนี้แค่ตัวอย่างส่วนหนึ่ง แต่ฉบับเต็มๆ หยาบคายกว่านี้มาก

เสร็จแล้วก็มีการเสียดสีคุณหมอว่า “คนที่มีพื้นเพเป็นชาวบ้าน แต่อยากเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ มักให้คุณค่าตัวเองว่าขยัน อดทน ประหยัด จึงประสบความสำเร็จ”

เป็นที่รู้กันว่าคุณหมอทวีศิลป์ในวัยเด็กฐานะทางบ้านค่อนข้างลำบาก ต้องทำงานหนัก ซึ่งมีสื่อต่างๆ ไปสัมภาษณ์ประวัติคุณหมอมาเผยแพร่ก่อนหน้านี้นานแล้ว

 

อันที่จริง สิ่งที่ นพ.ทวีศิลป์พูดนั้นไม่ใช่ว่าไร้ความจริงเสียเลยเรื่องเงิน 5,000 บาท เพราะสำหรับชาวบ้านหรือคนต่างจังหวัด ซึ่งไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน มีที่ดินสำหรับปลูกผักสวนครัว เงินจำนวนนี้อาจเพียงพอ การที่ผู้วิจารณ์บอกว่าไม่พอ ก็เป็นการเอาความคิดหรือมาตรฐานการใช้ชีวิตตัวเองไปคิดแทนชาวบ้านเช่นกัน

“ความพอ” ของมนุษย์ไม่เท่ากัน บางคนมีหมื่นล้านยังไม่พอ ความสุขของชาวบ้านกับคนในเมือง อาจแตกต่างกัน ค่าครองชีพในเมืองกับชนบทก็ต่างกัน ความสุขของชาวบ้านอาจไม่ใช่มีเงินมาก อาหารที่ชาวบ้านชอบและมีความสุขอาจเป็นแค่น้ำพริก ปลาย่าง ไม่ใช่สเต๊กเนื้อวากิว

กินแค่โอเลี้ยงก็อร่อยแล้ว ไม่ต้องกินสตาร์บัคส์ พวกเขาไม่มีและไม่ต้องการค่าใช้จ่าย “ไลฟ์สไตล์” เพื่อเท่ เพื่ออวดคนอื่น แบบคนบางจำพวก

ถ้าจะเถียงว่าเพราะพวกเขาไม่มีเงินเยอะจึงไม่สามารถกินสตาร์บัคส์นั้นอาจจะไม่จริงอีกเช่นกัน ถ้ามีเงินพวกเขาอาจซื้อกินเป็นครั้งคราว แต่ถ้าถามว่าชอบไหม อาจไม่ชอบ จะให้กินบ่อยๆ ก็ไม่เอา หรือบางทีอาจกินครั้งเดียวแล้วเลิก นั่นเป็นเพราะความคุ้นเคยหรือความชอบบางอย่างเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่เปลี่ยนแปลงกันยาก

ส่วนเรื่องความขยัน อดทน ประหยัดนั้นเป็นสัจธรรมสากล ที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นสิ่งน่าชื่นชมยกย่องและเอาอย่าง ดังนั้น จึงเป็นคุณค่าที่ควรส่งเสริม สนับสนุน ไม่ใช่มาเสียดสีดูแคลน

ทำไมคนที่อดทน ขยัน ประหยัด คนพื้นเพชาวบ้าน มีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่คดโกงใคร จึงต้องถูกหาว่า “อยากเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ” และถึงแม้เขาอยากเป็น เขาก็มีสิทธิ ผิดตรงไหน ตราบใดที่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรือทำเรื่องเลวทราม

แม้แต่ตัวผู้วิจารณ์เอง เมื่อก่อนเป็นคนพื้นเพไหน และปัจจุบันอยากเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นไหน ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี และรู้อีกว่าถ้าไม่ใช่เพราะความขยัน อดทนของตัว ก็คงไม่มีวันได้มายืนในจุดที่เป็นอยู่

เชื่อว่าเมื่อหมอทวีศิลป์ได้ฟังเสียงวิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของคนเหล่านี้แล้ว ในฐานะจิตแพทย์ ก็คงวิเคราะห์ “สภาพจิต” ของคนเหล่านี้ได้ว่า น่าจะเป็นพวกมี “ปมด้อย” มีความอิจฉาริษยาสูง ตลอดชีวิตสะสมความเกลียดชังไว้มาก สะสม “พลังงานด้านลบ” ไว้ในตัวเองสูง

ใครอยู่ใกล้คนพวกนี้มาก ซึมซับเอานิสัยและคำพูดของคนพวกนี้มาก ระวังจะได้รับเชื้อที่อันตรายยิ่งกว่าโควิดและจะรักษาไม่หายไปตลอดกาล