ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์ / LUCY IN THE SKY ‘เหินหาว’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

LUCY IN THE SKY

‘เหินหาว’

 

กำกับการแสดง Noah Hawley

นำแสดง Natalie Portman Jon Hamm Ellen Burstyn Dan Stevens

Pearl Amanda Dicken

 

Lucy in the Sky เป็นหนังที่เปิดตัวที่เทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตเมื่อช่วงหลังของปีที่แล้ว และโดนวิจารณ์อย่างหนักแบบสาดเสียเทเสีย จนกลายเป็นหนังที่ไม่มีใครอยากเสียเงินไปดู

ผู้เขียนสะดุดตาสะดุดใจกับชื่อหนัง เหมือนการขับรถอยู่ดีๆ แล้วต้องเหยียบเบรกเอี๊ยดเพราะเห็นอะไรอยู่ข้างหน้า เพื่อหยุดดูให้รู้ว่าคืออะไรกันแน่

ชื่อหนังเตือนให้หวนนึกถึงเพลงดังในอดีตกาลนานโพ้นของคณะนักร้องยอดฮิตที่โด่งดังทะลุฟ้าในช่วงที่ผู้เขียนยังเรียนหนังสือจนถึงตอนเริ่มทำงาน…The Beatles

เพลงนี้แต่งโดยจอห์น เลนนอน และพอล แม็กคาร์ธี เอาเนื้อเพลงเต็มๆ มาให้ดูสักหน่อยก็แล้วกันนะคะ เพราะขอบอกว่าการใช้ภาษาของจอห์นกับพอลส่งอิทธิพลต่อชีวิตการเป็นนักเขียนนักแปลมาก

Picture yourself in a boat on a river

With tangerine trees and marmalade skies

Somebody calls you, you answer quite slowly

A girl with kaleidoscope eyes

Cellophane flowers of yellow and green

Towering over your head

Look for the girl with the sun in her eyes

And she’s gone

Lucy in the sky with diamonds

Lucy in the sky with diamonds

Lucy in the sky with diamonds, ahh

Follow her down to a bridge by a fountain

Where rocking horse people eat marshmallow pies

Everyone smiles as you drift past the flowers

That grow so incredibly high

นักอ่านนักเพลงและคนรักภาษาทั้งหลายต้องสะดุดหูสะดุดใจกับคำบรรยายที่ให้สีสันด้วยวลีว่า tangerine trees, marmalade skies, kaleidoscope eyes, cellophane flowers of yellow and green ไม่มากก็น้อยละค่ะ

สมัยที่เพลงนี้ออกมาใหม่ๆ ใครๆ ก็พูดกันว่าชื่อเพลงบอกถึงประสบการณ์ “เมายา” โดยทางอ้อม…หรือจะว่าโดยตรงก็ได้ เพราะอักษรย่อของชื่อเพลงคือ LSD เป็นยาชนิดหนึ่งที่ทำให้ประสาทหลอน และเป็นที่นิยมในหมู่ฮิปปี้ที่ใช้ชีวิตอยู่นอกกรอบสังคมในยุคนั้น

แต่ผู้แต่งคือจอห์น เลนนอน ได้ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธความเกี่ยวโยงของเพลงกับ LSD โดยสิ้นเชิง โดยบอกว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากรูปวาดแบบเด็กๆ ของลูกสาวที่เรียกว่า “Lucy…in the sky with diamonds” และประสบการณ์จากการอ่านหนังสือเด็กยอดนิยม Alice in Wonderland

จะอย่างไรก็ตาม เพลงนี้บอกเล่าถึงประสบการณ์อันลอยล่องตาม “ลูซี่” ไปบนเรือ มองเห็นสิ่งรอบกายที่มีสีสันชัดเจนด้วยดวงตาที่พร่างพรายแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ…เหมือนอาการ “เมายา” ละค่ะ

สมัยนั้นมีคำเรียกว่า psychedelic แบบแสงสีที่ใช้กันในสถานบันเทิงที่เรียกว่า ดิสโก้เธค

 

เพราะชื่อหนังแท้ๆ เทียวที่ทำให้เข้าไปดูหนังเรื่องนี้

และตรงข้ามกับคำวิจารณ์ “เละ” โดยมาก ผู้เขียนออกจะชอบทีเดียว เพราะหนังทำให้ได้คิดสะระตะต่อไปอีกพักใหญ่

เช่นเดียวกับหนังหลายต่อหลายเรื่อง หนังโปรยข้อความว่า “อิงจากเหตุการณ์จริง”

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเรียงนามของตัวละครเปลี่ยนไปหมด เพราะนี่ไม่ใช่ชีวประวัติ แต่เป็นเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจสำหรับสร้างสรรค์ต่อไปด้วยจินตนาการ

“เหตุการณ์จริง” ที่ตกเป็นข่าวคือ นักบินอวกาศสาวจากองค์การนาซ่าโดนข้อหาลักพาตัว ด้วยสาเหตุหึงหวง จนเป็นผลให้ถูกปลดจากงาน กูเกิลดูได้ในชื่อของ Lisa Nowak นะคะ

ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่มีข้อบกพร่องนะคะ แต่ที่ผู้เขียนชอบคือ หนังเสนอกรณีศึกษาบุคลิกลักษณะและจิตวิทยาตัวละครที่ทำให้เราเข้าใจแง่มุมหลายๆ อย่างของความเป็นมนุษย์ในเชิงอภิปรัชญา (metaphysical) โดยตั้งคำถามเชิงอัตถิภาวะ หรือการมีตัวตนของมนุษย์ในโลกและในจักรวาล และความหมายของชีวิตเราในโลกนี้ในจักรวาลนี้

นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่อยู่ในใจมนุษยชาติมาช้านานนับแต่อรุณรุ่งแห่งอารยธรรม

เป็นคำถามที่อยู่ในใจมนุษย์ทุกรูปทุกนาม ไม่มากก็น้อย ไม่ขณะใดก็ขณะหนึ่งในช่วงชีวิต

 

หนังเปิดเรื่องด้วยประสบการณ์ชวนอัศจรรย์ อ้าปากค้าง นิ่งขึงตะลึงตะไล ขณะลอยอยู่ในอวกาศของลูซี่ โคลา (นาตาลี พอร์ตแมน) มองลงมาที่ดาวเคราะห์ดวงเล็กที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ แต่งแต้มระยับด้วยหย่อมดวงไฟที่โน่นที่นี่ ลอยอยู่กลางห้วงอวกาศอันมืดสนิท

เธอเป็นหนึ่งในทีมมนุษย์อวกาศที่ออกปฏิบัติงานนอกโลก ซ่อมแซมสถานีอวกาศที่ลอยอยู่เบื้องบน

ทัศนะจากเบื้องบนที่มองลงมายังโลกใบน้อยนี้ ทำให้มุมมองของชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

เมื่อเธอกลับลงสู่พื้นโลก การใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เดินดินกลายเป็นเรื่องสัพเพเหระ และไร้ความหมาย ลูซี่มุ่งมั่นที่จะกลับขึ้นไปบนฟากฟ้าอีกในภารกิจครั้งต่อไป

แต่เมื่อเกิดอุปสรรคขึ้น เพราะผู้บังคับบัญชาประเมินสุขภาพจิตของเธอไม่ผ่าน ลูซี่ก็เกิดอาการ “น็อตหลุด” จนกลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ที่หักเหชีวิตเธอไปอีกครั้ง

 

ความสนุกของหนังไม่ได้อยู่ที่พล็อตหรือการดำเนินเรื่องหรอกค่ะ แต่อยู่ที่ความคิดที่ผุดขึ้นประปรายในท่ามกลางพัฒนาการของเรื่อง

หลังจากกลับลงสู่โลกใหม่ๆ ลูซี่ต้องเข้ารับการประเมินสภาพจิตโดยจิตแพทย์ประจำองค์การนาซ่า คนที่ออกไปอยู่นอกโลกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายและจิตใจย่อมต้องปรับสภาพเข้ากับประสบการณ์ “นอกโลก”

จิตแพทย์เอ่ยถึงไมเคิล คอลลินส์ หนึ่งในมนุษย์อวกาศ ผู้เป็นคนขับยานอพอลโล่ 11 ที่พานีล อาร์มสตรอง กับบัซ อัลดริน ลงไปสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในยานเล็ก ขณะที่ไมเคิล คอลลินส์ ขับยานใหญ่รออยู่เหนือดวงจันทร์โดยโคจรวนไปรอบดวงจันทร์ทุก 48 นาที

เล่ากันว่า ไมเคิล คอลลินส์ บอกว่า เขาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเท่านั้นมาก่อน โดยเฉพาะขณะโคจรไปด้านหลังที่มืดสนิท โดนบังมิดไว้จากโลก

ข้อความนี้น่าสนใจจนต้องไปกูเกิลต่อค่ะ ข้อมูลบอกว่า ไมเคิลพูดว่า “นับแต่อดัมแล้ว ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนประสบความรู้สึกโดดเดี่ยวเท่านั้นมาก่อน” ซึ่งคงเป็นข้อความเก๋ๆ ที่คนที่นาซ่าเขียนไว้ให้พูด เหมือนกับคำแรกที่ออกจากปากของนีล อาร์มสตรอง ตอนเหยียบย่างลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ ที่ว่า “ก้าวเล็กๆ ของมนุษย์ แต่เป็นก้าวกระโดดก้าวใหญ่ของมนุษยชาติ”

แต่ปรากฏว่า ไมเคิล คอลลินส์ ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวหรือว้าเหว่เลย ทว่าระหว่างโคจรอยู่ลำพังโดยถูกบดบังจากโลกอยู่หลังดวงจันทร์นั้น เขารู้สึก “มีสติรู้ตัว รอคอย พอใจ มั่นใจ เกือบจะลิงโลดใจ”

อีกตอนที่น่าสนใจคือ เมื่อลูซี่ถูกประเมินสภาพจิตโดยเพื่อนมนุษย์อวกาศด้วยกันว่า เธอขึ้นไปเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในจักรวาลอย่างที่มนุษย์น้อยคนจะได้เห็น เธอจึงรู้สึกแปลกแยกกับโลก และรู้สึกว่าชีวิตบนโลกไร้ความหมาย ไม่สลักสำคัญอะไรเลย

 

อ้อ แฟนเพลงเดอะบีตเทิลส์ ได้สมใจกับเพลง Lucy in the Sky with Diamonds ด้วยนะคะ ในช่วงที่ลูซี่ได้ข่าวย่า (เอลเลน เบอร์สตีน ในบทเล็กๆ ที่เด่นมาก) ป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล….เธอ “ลอย” ผ่านสิ่งต่างๆ ในลักษณะตรงตามตัวอักษรของคำเลยทีเดียว

นี่เป็นหนังแบบที่ขยายประสบการณ์และทัศนะใหม่ๆ ที่เรามีต่อชีวิตค่ะ

ดีใจที่หยิบขึ้นมาดูในช่วงที่โรงหนังปิดนี้ค่ะ