เครื่องเคียงข้างจอ/ วัชระ แวววุฒินันท์ / เปรียบเธอเป็นดั่ง…

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

เปรียบเธอเป็นดั่ง…

 

ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่อง “โควิด-19” เช่นเดิมครับ เพราะคงไม่มีอะไรฮอตฮิต เรตติ้งพุ่งกระจายเท่านี้อีกแล้ว

บางคนบอกว่าไม่ดูข่าวอื่นเลย จ้องแต่ข่าวโควิดนี่แหละ

อยากรู้จังว่าวันนี้ยอดผู้ติดเชื้อจะออกที่ตัวเลขไหน ต่ำร้อยหรือเกินร้อย ไม่แต่ในไทย ยังนั่งลุ้นยอดผู้ป่วยทั่วโลกอีก ลุ้นตัวเลขผู้ป่วยเหมือนลุ้นเลขหวยยังงั้น

ในภาวะเช่นนี้ จึงมีผู้มีอารมณ์ต่างๆ นานา พากันเปรียบเปรยเจ้าไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 นี้เป็นอะไรหลากหลาย

 

บางคนบอกว่า โควิด-19 นี้เป็นดั่ง “ผู้ปลุกจิตสำนึก”

ปลุกจิตสำนึกของคนเราว่าอย่าได้อหังการ เพราะไม่ว่าคุณจะรวยล้นฟ้า จะจนติดดิน จะผิวเหลือง ผิวขาว ผิวดำ จะมีอาชีพอะไร จะมีเส้นใหญ่แค่ไหน ต่างก็มีสิทธิ์ติดเชื้อโควิดได้หมด

หลายวันก่อนก็มีข่าวว่าสมาชิกราชวงศ์ของประเทศซาอุดีอาระเบียติดเชื้อแล้วกว่า 150 พระองค์ หรือที่ก่อนหน้านี้ก็ไล่ติดเชื้อไปหมดไม่ลดละ ไม่ว่ากษัตริย์แห่งโมนาโก, เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์, บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และอีกหลายคนชั้นนำของประเทศ

 

บางคนที่เป็นเหล่าคุณผู้ชายทั้งหลายบอกว่า โควิด-19 เป็นดั่ง… “เมีย”

เพราะโควิด-19 ทำให้คุณสามีอดออกนอกบ้าน อดไปสนุกในผับในบาร์ อดนอนเอกเขนกทั้งวันเพื่อดูกีฬาเพราะยกเลิกแมตช์ไปหมด ซ้ำทำให้คุณสามีต้องช่วยงานบ้าน (แม้จะแบบจำใจก็เหอะ) และทำให้คุณสามีต้องอยู่กับพวกเมียๆ ทั้งวัน 24 ช.ม.

จนมีบางคนค่อนแคะว่า เบื้องหลังการก่อกำเนิดของไวรัสร้ายนี้ ก็คือพวกเมียๆ นี่เองแหละ

สายจินตนาการจะบอกว่า โควิด-19 เป็นเหมือน “Time Machine”

เพราะมันได้ย่นระยะเวลาอะไรหลายอย่างที่เดิมคาดว่าคงอีกสักระยะจึงจะเกิด แต่ได้รวบรัดตัดความให้เกิดขึ้นเลยวันนี้ เดี๋ยวนี้ ด้วยความจำเป็น

เช่น เรื่องการดำเนินชีวิตด้วย Online เต็มรูปแบบ อันเป็นผลพวงมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในยุคดิจิตอล ซึ่งหลายคนก็รู้และเข้าใจว่าวันหนึ่งมันจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา แต่ไม่นึกว่าจะจู่โจมรวดเร็วขนาดนี้

ที่ไม่เคยใช้เทคโนโลยีเพื่อ Work from Home ก็ได้หัดใช้หัดทำ

กิจการค้าใดที่มีแต่หน้าร้าน ไม่เคยมีระบบ Delivery ก็ได้ลุกขึ้นมาปรับตัวแบบฉับไวเพื่อให้อยู่รอด

ที่ไม่เคยจัดระเบียบชีวิตตัวเองก็ถึงเวลาเสียที เพราะถ้าไม่จัดตอนนี้จะไปจัดตอนไหน เผลอๆ จะอดตายไปเปล่าๆ ปลี้ๆ

 

ส่วนสายโลกสวยบอกว่า โควิด-19 นี้ เป็นเหมือนดั่ง “โซ่เชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัว”

เดิมทีวันๆ คุณพ่อบ้านหรือคุณแม่บ้านก็ตาม ต่างเร่งรีบออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ใกล้ชิดลูกๆ แม้วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ตระเวนพาลูกไปเรียนพิเศษ ไปห้าง ไปทำธุระนั่นนี่

นี่เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ครอบครัวเป็น “ครอบครัว” ได้มีเวลาอยู่ใกล้ชิดกันเต็มอิ่ม อะไรที่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำก็จะได้ทำซะ นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่เคยเล่นสนุกกับลูก ได้อ่านนิทานให้ลูกฟังครั้งสุดท้ายก็เมื่อปีที่แล้ว หรือแม้แต่คู่แต่งงานก็จะมีโอกาสดูแลกันและกันจริงๆ ในยามนี้ เปิดใจพูดคุยกัน เคลียร์ปัญหาที่ค้างคาหมักหมม

แต่พูดจากันดีๆ นะครับ ไม่ใช่ยิ่งไปสร้างปัญหาให้เพิ่มขึ้นอีก คราวนี้จะยิ่งอึดอัดเพราะถูกหยุดเชื้อเพื่อชาติ ต้องมองหน้าหงิกๆ กันอยู่กับบ้าน

 

ถ้าคอการเมืองหน่อย ก็จะบอกว่า เจ้าโควิด-19 เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ให้กับลุงตู่แบบเต็มๆ

อันนี้ก็มีที่มาที่ไปจากการที่ได้ประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” รวบอำนาจมาอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และมีการตั้ง ศบค. หรือศูนย์บริหารสถานการณ์โควิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม เพื่อให้การบังคับบัญชา สั่งการต่างๆ เป็นแบบรวมศูนย์

หลังจากที่ได้ให้เจ้าสำนักแต่ละกระทรวงต่างรับมือกันเอง ก็เกิดอาการเป๋ ทำงานแบบสะเปะสะปะคนละทิศละทาง ขบเหลี่ยมกันเองบ้าง ขัดคอขัดขากันเองบ้าง หรือไม่ประสานกันเท่าที่ควร ยังผลให้เจ้าไวรัสแอบหัวเราะเยาะ

สุดท้ายหวยก็ออกที่ลุงตู่ รวบยอดมันซะเลย ท่ามกลางเสียงเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ของประชาชน เพราะอยากเห็นการจัดการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและ “เอาอยู่” กว่าเคย

จึงมีเสียงกระซิบว่า อำนาจพิเศษนี้อาจจะลากไปอีกไกล เพราะกว่าจะพ้นวิกฤตโควิดไปได้ก็อย่างน้อยปลายๆ ปี หรืออาจจะข้ามไปปีหน้าก็ได้

อันนี้ก็ว่ากันไป…

 

สําหรับผู้เขียนแล้ว ขออนุญาตเปรียบเปรยการเข้ามาของเจ้าไวรัสโคโรนานี้ เหมือนกับ “สงครามไทย-พม่า” สมัยกรุงศรีอยุธยา ในยุคกรุงแตกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2310

เหตุการณ์ครั้งนั้นประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า พระเจ้ามังระของพม่าได้ยกทัพเข้าตีสยามด้วยกันสองช่องทางแบบคีม เพื่อบีบให้อยุธยายอมแพ้ โดยส่งทัพบุกมาจากทางเหนือและทางใต้

กรุงสยามยามนั้นภายใต้การปกครองของพระเจ้าเอกทัศน์มีความอ่อนแอภายใน ด้วยข้าราชการมีความแตกแยก แบ่งเป็นฝักฝ่าย…คล้ายๆ กับหลายๆ พรรคของรัฐบาลยามนี้ประมาณนั้น…เศรษฐกิจก็ฝืดเคืองจากการติดขัดทางการค้า ของป่าที่เป็นของส่งออกทำรายได้เข้าสยามก็ส่งออกยากมากเพราะเกิดการกีดกันทางการค้าจากประเทศตะวันตก

ฟังดูคล้ายๆ กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงที่ผ่านมาเสียจริง

แถมข้าราชการที่มีอำนาจบางคนก็ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบประชาชนจนเกิดระส่ำระสาย ประชาชนทุกข์เข็ญอยู่เดิมเป็นอันมาก…ก็คล้ายนะว่าไหม?

ทัพพม่าที่มาทางทิศเหนือได้รับชัยชนะจากการโจมตีหัวเมืองมาเรื่อย เปรียบได้กับเชื้อไวรัสที่มาจากทางเหนือของไทยคือประเทศจีนเช่นกัน

ทัพพม่าต้องปะทะกับเมืองด่านหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยในช่วงเหตุการณ์นั้น นั่นคือ “บ้านบางระจัน” นั่นเอง

นักรบบางระจันที่มาจากชาวบ้านรวมตัวกัน เป็นเหมือนด่านหน้าที่จะยับยั้งข้าศึกเอาไว้ไม่ให้เข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาได้

นักรบบางระจันเหล่านั้นเปรียบเหมือน “นักรบเสื้อกาวน์” ยามนี้ที่ก็คือบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องรับมือกับไวรัสโควิด-19 ให้ได้ ในฐานะด่านหน้า

และเป็นด่านหน้าที่ขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ในการทำศึก เพราะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากส่วนกลางเท่าที่ควร เหมือนชาวบ้านบางระจันที่ต้องหล่อปืนใหญ่ใช้ยิงเอง ต้องเอาทรัพย์สินแร่ธาตุมาหลอมตีเป็นดาบเป็นอาวุธเพื่อใช้ต่อสู้ข้าศึก

เหมือนคุณหมอและพยาบาลหลายคนพากันลุกขึ้นมาเย็บหน้ากากอนามัยกันเอง ลุกขึ้นมาจับมือช่วยเหลือด้วยวิธีต่างๆ กันเอง เพื่อจะต่อสู้กับไวรัสนี้ให้อยู่หมัด

เพราะรู้ดีว่า ถ้าด่านหน้านี้แตก เอาไม่อยู่ คนป่วยทวีคูณขึ้น จำนวนบุคลากรและเครื่องมือที่มีอยู่ไม่พอเพียง ก็มีสิทธิ์ “กรุงแตก” ได้เมื่อนั้น

 

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในที่สุดแล้วกับเวลา 14 เดือนบางระจันก็แตก พ่ายแพ้แก่ข้าศึก สำหรับศึกโควิด-19 นี้ก็คาดว่าต้องยืดเยื้อไปอีกร่วมปี เผลอๆ ก็อาจจะเป็น 14 เดือนเหมือนกันใครจะรู้

ได้แต่อวยพรและให้กำลังใจ พร้อมการสนับสนุนเท่าที่ทำได้จากคนไทยให้ “ด่านหน้า” คือ “นักรบเสื้อกาวน์” ของเราทั้งหลายอย่าได้มีจุดจบแบบนักรบบางระจันเลย

ข่าวว่ายามนี้ส่วนกลางได้ลงมาดูแลให้การสนับสนุนมากขึ้น และได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชนในการบริจาคเงิน และเครื่องมือมากขึ้น ก็หวังว่าสุดท้ายเราจะรบชนะในที่สุด

หากจะเปรียบว่าโควิด-19 นี้เป็นอะไรได้อีก

ก็อยากจะบอกว่า มันเป็นดั่ง “ตำราเล่มสำคัญของโลก” ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ เพื่อสร้างสำนึก สร้างองค์ความรู้ และเปลี่ยนแปลงทุกอย่างกันอย่างจริงจังและถ้วนทั่วกันเสียที