‘เพ้นท์ฟ้า’ อัจฉริยะศิลปินน้อย

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

ในอดีตที่ผ่านมา มีศิลปินเอกของโลกหลายคนที่เปล่งประกายฉายแววแห่งอัจฉริยภาพตั้งแต่ยังเยาว์วัย

ไม่ว่าจะเป็นโคตะระศิลปินอย่างปาโบล ปิกัซโซ ที่เริ่มต้นวาดภาพตั้งแต่เจ็ดขวบ พออายุ 12 ผลงานของเขาก็ทำให้พ่อผู้เป็นศิลปินตัดสินใจวางพู่กันเลิกวาดภาพไปเลย

หรือศิลปินคนสำคัญในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์อย่างโอกุสต์ เรอนัวร์เองก็เริ่มต้นฉายแววแห่งพรสวรรค์ตั้งแต่อายุ 13 และขายผลงานของตัวเองได้ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น

ในเมืองไทยเราเองก็มีศิลปินตัวน้อยที่ฉายประกายเจิดจ้าอยู่ไม่น้อย

หนึ่งในจำนวนนั้นมีศิลปินรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ที่มีฝีไม้ลายมือจัดจ้านและความคิดความอ่านเกินอายุ จากเด็กอนุบาลที่มีปัญหากับระบบการศึกษาของประเทศไทย สู่การก้าวพ้นรั้วโรงเรียน ออกมาเรียนรู้ด้วยตัวเองที่บ้าน เพื่อตามความฝันในการเป็นศิลปิน ด้วยการสนับสนุนอย่างแข็งขันของพ่อและแม่

จนในที่สุดเธอก็ก้าวสู่การเป็นศิลปินอาชีพที่มีแกลเลอรี่เป็นของตัวเอง

และมีนิทรรศการแสดงศิลปะทั้งเดี่ยวและกลุ่มมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งๆ ที่มีอายุไม่ถึง 14 ปีด้วยซ้ำไป

ศิลปินน้อยผู้นี้มีชื่อว่า

เพ้นท์ฟ้า ชาญชุติวาณิช

เพ้นท์ฟ้าเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการก้าวเข้าสู่โลกศิลปะของเธอให้ฟังว่า

“ย้อนกลับไปตอนประมาณสองขวบ เรายังไม่รู้เรื่องศิลปะ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่วันหนึ่งเราเห็นพ่อเราทำงานประติมากรรมตั้งไว้บนบ้าน ได้เห็นการทำงานของพ่อ ว่ามีดินที่สามารถเอามาปั้น เอามาเปลี่ยนรูปทรงเป็นโน่นนี่นั่นได้ เราก็อยากจะปั้นบ้าง ก็ลองเอาไม้ไปจิ้มๆ จนงานของพ่อพัง”

“นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พ่อซื้อดินน้ำมันมาให้ เราก็ปั้นๆๆ ตามใจ ปั้นตัวการ์ตูนในหนังที่เราชอบดู ปั้นนิทานที่เราชอบอ่าน ปั้นเป็นตัวเพนกวิน ตัวอะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอโตขึ้นประมาณสามขวบ เรารู้สึกว่าการปั้นยากกว่าการวาด เพราะว่าการปั้นต้องมีหลายมุม ต้องทำทุกด้านให้ขึ้นมาเป็นสามมิติ แล้วเราก็ไปเห็นผลงานรูปวาดของพ่อ ก็คิดว่า ถ้าเราวาดจะเป็นยังไง?”

“พอเริ่มวาดก็รู้สึกว่าง่ายกว่าการปั้นเยอะเลย เพราะมีแค่ด้านเดียว เสร็จในชิ้นเดียว แผ่นกระดาษแผ่นเดียวใช้ได้เลย ก็ชอบการวาดตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แล้วก็วาดๆๆ มาเรื่อยๆ พอหกขวบ เราก็ลาออกจากโรงเรียน”

“เพราะถึงที่โรงเรียนจะมีวิชาศิลปะ แต่ก็เรียนแค่วันละชั่วโมงในหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น แล้วเวลาเรียนก็ไม่ได้แปลว่าเราจะวาดอะไรก็ได้ เพราะว่าเราก็ต้องทำตามที่ครูสั่ง อย่างรูปแอปเปิล ดอกไม้ ก็จะมีกรอบมาให้เราลงสี ถ้าเราไม่ลงสีตามแบบที่เขาให้ หรือวาดไม่ตรงกับที่เขาสั่ง เช่น ดอกทานตะวันต้องเป็นสีเหลือง แต่ถ้าเราใช้สีม่วง ครูก็จะบอกว่าทำไมไม่ใช้สีเหลือง คือถูกจำกัดอยู่ในกรอบ เราก็รู้สึกว่าเราไม่มีความสุข”

“ตอนนั้นพอเลิกเรียนกลับบ้าน เราก็วาดรูปตามปกติทุกวัน แต่อยู่มาวันหนึ่ง เรากลับมาแล้ววาดรูปไม่ได้ เพราะเราติดจากการที่ครูสอนให้เราจับดินสอให้ถูกต้อง เพื่อจะได้เขียนหนังสือสวยๆ พอเราจับดินสอแบบนั้น เราก็วาดรูปไม่ได้เลย คุณพ่อก็เลยต้องไปคุยกับครูใหญ่”

“จนเป็นเหตุให้เราต้องออกมาเรียนโฮมสคูลที่บ้าน

“ตอนออกมาเรียนโฮมสคูลก็มีวิชาเหมือนในโรงเรียนนั่นแหละ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และศิลปะที่คุณพ่อค่อนข้างสนับสนุน เราก็เรียนตามปกติ พอหนึ่งถึงสองสัปดาห์ผ่านไป เราก็เริ่มขอตัดออกทีละวิชา เพราะเราคิดว่าทำไมเราต้องเรียนด้วย ก็ตัดออกไปเรื่อยๆ จนเหลือสองวิชาสุดท้าย คือคณิตศาสตร์กับศิลปะ”

“พอโตขึ้นมาอีกหน่อย เราก็ขอคุณพ่อว่าเราอยากตัดวิชาคณิตศาสตร์ออก แล้วเรียนศิลปะอย่างเดียว คุณพ่อก็คิดว่าเป็นข้ออ้างที่เราจะไม่เรียนวิชาอื่นที่เราไม่ชอบ แต่เขาก็ให้โอกาสเรา 7 วัน ในการพิสูจน์ตัวเองว่าเราจริงจังกับศิลปะแค่ไหน”

“เราก็พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราอยู่กับมันได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เบื่อ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย และงานของเราก็มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ คุณพ่อก็เลยเห็นศักยภาพของเรา และอนุญาตให้เราเรียนศิลปะอย่างเดียว”

เพ้นท์ฟ้านิยามความหมายของคำว่า “ศิลปิน” ในความคิดของเธอว่า

“ตอนแรกๆ เรายังไม่รู้ความหมายของคำว่า “ศิลปิน” ว่าคืออะไร ต้องทำอะไร อนาคตเราต้องเจอกับอะไรบ้าง เรารู้แค่ว่า ศิลปินคือคนที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จัก มีผลงานที่เป็นที่ต้องการของทุกๆ คน”

“แต่ถึงตอนนี้เราเริ่มรู้มากขึ้นแล้วว่า การเป็นศิลปิน คือการที่เรารักในสิ่งที่เราทำ และได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ วาดในสิ่งที่เราอยากวาด และทำมันได้ตลอดเวลา นั่นคือการประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินในความหมายของเรา”

กับทัศนคติเดิมๆ ที่มองว่าการเป็นศิลปินจะต้องไส้แห้งนั้น เพ้นท์ฟ้าบอกว่า

“เราคิดว่าสมัยนี้การเป็นศิลปินง่ายกว่าแต่ก่อน เพราะอย่างในสมัยของคุณพ่อนั้นไม่ค่อยมีคนที่สนับสนุนงานศิลปะเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ก็เลยจะมองว่าศิลปินเป็นอาชีพไส้แห้ง แต่สมัยนี้ดีขึ้นมาก เพราะคนเริ่มเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีออนไลน์เองก็มีส่วนช่วยมาก คืออย่างน้อยๆ ในฐานะศิลปิน เราก็พิสูจน์ตัวเองได้ว่าอาชีพนี้ไม่ไส้แห้ง เป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวได้ เพราะว่าเราก็ขายงานได้ตั้งแต่เด็กๆ”

“ตอนนี้เรากำลังวางแผนที่จะไปเป็นศิลปินพำนักในต่างประเทศ ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปที่เนเธอร์แลนด์ เราอยากไปดูงานและเรียนรู้เกี่ยวงานศิลปะที่นั่น ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และถ้ามีโอกาสก็อยากแสดงงานที่นั่น เพราะเราไม่อยากให้คนรู้จักเราแค่ในประเทศไทยอย่างเดียว เราอยากให้ต่างประเทศรู้จักตัวตนของเราด้วย ตอนนี้ก็กำลังระดมทุนจากผู้สนับสนุนที่ชื่นชอบผลงานของเราอยู่”

เพ้นท์ฟ้ากล่าวถึงเป้าหมายและความใฝ่ฝันล่าสุดของเธอ

ท้ายสุด ศิลปินน้อยผู้นี้ฝากถึงใครก็ตามที่ต้องการจะไล่ตามความฝันอย่างเธอว่า

“ถ้าชอบอะไร ก็ทำให้ถึงที่สุด พยายามทำทุกวันให้ดีที่สุด ผลมันจะออกมาเป็นยังไงเราไม่รู้ ก็แค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง”

ล่าสุดเพ้นท์ฟ้าเพิ่งจัดนิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งที่แปด วัย 13 ย่าง 14 “รู้จักตัวเองก่อนรู้จักคนอื่น” ที่แสดงผลงานภาพตัวเธอเองในอิริยาบถต่างๆ ที่วาดด้วยฝีแปรงจัดจ้านเปี่ยมอารมณ์ สำแดงความรู้สึกของเด็กหญิงที่กำลังจะย่างก้าวสู่ความเป็นวัยรุ่นออกมาได้อย่างทรงพลัง ณ Paintfa Gallery ศูนย์การค้าริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก

ถึงแม้นิทรรศการนี้ต้องปิดไปเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่มิตรรักแฟนศิลปะก็สามารถเข้าไปติดตามผลงาน และความเคลื่อนไหวของเธอได้ที่เพจเฟซบุ๊ก @Paintfa Gallery

หรือถ้าต้องการร่วมสนับสนุนทุนในการไล่ตามความฝันในต่างแดนของเธอ ก็สามารถติดต่อได้ที่โครงการสนับสนุนเพ้นท์ฟ้าโกอินเตอร์

โดยผู้สนับสนุนทุนแต่ละท่านจะได้รับผลงานศิลปะต่างๆ รวมถึงหนังสือบันทึกโครงการโกอินเตอร์และภาพพิมพ์ลิมิเต็ดเอดิชั่นภายในเล่ม พร้อมลายเซ็นจากศิลปิน

ใครสนใจก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 08-7998-9812 หรือเพจเฟซบุ๊ก @Paintfa Chan

ว่ากันได้ตามอัธยาศัย