ธงทอง จันทรางศุ | เหตุเกิดที่สุวรรณภูมิ ทำดี ทำเรียบร้อย ก็ทำเป็น

ธงทอง จันทรางศุ

สถานการณ์เรื่องโรคระบาดโควิด-19 ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

ผมยังไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเรื่องจะยุติลงหรือทุเลาลงเมื่อไหร่กันแน่

ตลอดเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมา โลกเปลี่ยนแปลงไปมากนะครับ

คนไทยเราทุกคนต้องปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย

จะปรับตัวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคน

ดูแค่ตัวผมเองก็แล้วกัน

เมื่อสักสองหรือสามปีก่อนไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าตัวเองจะต้องสอนหนังสือออนไลน์

นักเรียนเห็นหน้าผมบนจอคอมพิวเตอร์ และผมก็เห็นนักเรียนอยู่บนจอ iPad ของผม เป็นการสมน้ำสมเนื้อกันดีมาก

ถ้าสถานการณ์โรคระบาดคราวนี้คลี่คลายลงไปแล้ว วิธีการเรียนการสอนของเมืองไทยอาจจะเดินไปสู่แนวทางใหม่ที่เราได้เรียนรู้และคุ้นเคยจากเหตุวิกฤตช่วงนี้ก็เป็นได้

นอกจากมองไปข้างหน้าแล้ว หลายเหตุการณ์ที่เราได้ผ่านพบมาในช่วงเวลาสองเดือนนี้ก็ต้องถือเป็นบทเรียนที่ควรจำใส่ใจ

และนำมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอย่างนี้ขึ้นอีกในวันข้างหน้า

ผมเป็นคนเคยอยู่ในราชการมานานปี แม้เกษียณอายุมาแล้วเกือบห้าปี หัวใจก็ยังผูกพันอยู่กับระบบราชการ มีช่องโหว่ช่องว่างตรงไหน ถ้าพอติติงแนะนำกันได้ก็อยากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา

ตัวอย่างดังเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ พูดอย่างคนที่นั่งมองอยู่กับบ้าน ถ้าขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ต้องขออภัยนะครับ

ผมขออนุญาตพูดถึงเรื่องที่มีคนไทยจำนวนประมาณ 150 กว่าคน เดินทางจากสามสี่ประเทศกลับเข้ามาถึงเมืองไทยในช่วงต้นเดือนเมษายน ผู้คนจำนวนนั้นเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลาหลังเที่ยงของวันศุกร์ที่ 3 เมษายน

ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นาน รัฐบาลเพิ่งมีคำสั่งให้คนไทยที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศชะลอการเดินทางไปก่อน ทันทีที่สถานทูตสถานกงสุลทุกแห่งได้รับทราบคำสั่งเช่นนั้นจากกรุงเทพฯ การออกหนังสือรับรองการเดินทางจากประเทศต่างๆ สำหรับคนไทยที่อยากจะกลับบ้านก็หยุดลง หรือเรียกให้ไพเราะว่า “ชะลอ” ลง

แต่ไม่มีใครนึกถึงคนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับหนังสือรับรองจากสถานทูตสถานกงสุลไปแล้ว ใบรับรองทางการแพทย์ที่เรียกว่า Fit to fly ก็ถืออยู่ในมือ ตั๋วเครื่องบินสายการบินก็ไม่มีอะไรขัดข้อง

ผู้คนจำนวนนี้จะไปชะลอหรือหยุดยั้งการเดินทางของเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะอยู่กระจายกันเป็นเบี้ยหัวแหลกหัวแตก

สิ่งที่ทำได้คือ เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว จะต้องมีการนำตัวไปกักตัวเป็นกำหนด 14 วันถ้วนทุกคนไป พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ถ้าไม่มีโรคภัยอันตรายอะไรก็อนุญาตให้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวได้

ภาพที่เราหวังว่าจะได้เห็น แต่เราไม่ได้เห็น มีอะไรบ้างครับ

โลกในความฝันของผมบอกว่า ทันทีที่มีมาตรการชะลอการเดินทางและสถานทูตสถานกงสุลทั้งหลายเลิกออกใบรับรองการเดินทาง จะต้องมีคณะทำงานพิเศษขึ้นคณะหนึ่งเพื่อดูแลประเด็นที่เกี่ยวข้องที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ต้องประสานงานหลายหน่วยหลายกระทรวง เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติให้ชัดเจนไม่สับสนเป็นลิงแก้แห

ลองขานชื่อเป็นตัวอย่างไหมล่ะครับ

ผู้เกี่ยวข้องมีตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย จังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ

และถ้านึกเลยไปจนถึงการจัดเตรียมสถานที่กักตัว เราก็จะมีเรื่องของการคมนาคมขนส่งการจัดสถานที่ซึ่งอาจจะเป็นของกองทัพเรือ ของกรุงเทพมหานคร หรือของจังหวัดอื่น

อาหารมื้อแรกเมื่อเดินทางไปถึงที่พักแล้วจะให้กินอะไร ห้องพักแต่ละห้องพักกี่คนจึงจะถูกต้องตามหลักการแพทย์

การแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้เดินทางและครอบครัวที่ไปรอรับที่สนามบินได้มีความเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ลูกหลานพี่น้องที่เดินทางกลับมาจะไปพักอยู่ที่ไหน เขาจะติดต่อกันได้อย่างไร

ซื้อซิมโทรศัพท์แล้วฝากเข้าไปให้ได้หรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักตัว หน่วยใดหรือผู้ใดจะต้องรับผิดชอบ

ระหว่างกักตัวถ้ามีอาการเจ็บป่วยขึ้นมา จะดูแลรักษากันอย่างไร

การติดต่อกับหน่วยราชการที่พูดจารู้เรื่องและสามารถให้คำตอบได้มีระบบรองรับอะไรบ้าง

อ่านแค่นี้เหนื่อยหรือยังครับ

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง รายการที่ว่ามาข้างต้นนั้นแทบจะเป็นอากาศธาตุ

ผมรู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้เดินทางจากประเทศสิงคโปร์รายหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ด้วย ก่อนออกเดินทางจากประเทศสิงคโปร์ เจ้าตัวมีความเข้าใจและได้เตรียมการไว้แล้วว่า เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทางราชการจะได้นำตัวไปกักตัวไว้ที่หนึ่งที่ใดมีกำหนด 14 วัน

ตัวเขาเองมีความพร้อมที่จะทำตามกติกานี้ทุกประการ

ถูกละครับ ในจำนวนคน 150 กว่าคนนั้นไม่ได้คิดเหมือนกันทั้งหมด บางคนอาจจะดื้อดึงไม่ยอมถูกกักตัวเพราะเห็นว่าตัวเองไม่มีโรคภัยอะไร ควรจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้

แต่จากการประมวลข้อมูลแล้วผมเข้าใจว่าคนที่คิดแบบนี้มีจำนวนเป็นฝ่ายข้างน้อย

คนส่วนใหญ่เข้าใจดีว่าเหตุผลของทางราชการที่จะต้องมีระบบกักนั้นคืออะไรและยินดีให้ความร่วมมือ

แต่ปัญหาคือ ตรงหน้างานคือที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น แทบทุกอย่างแลเป็นวุ้น ทุกคำถามที่เป็นความสงสัยไม่มีคำตอบ

ด้วยความที่เคยอยู่ในราชการมาช้านานอย่างที่ว่า ผมเข้าใจดีว่าแต่ละหน่วยในยามนี้ก็ล้วนแต่มีงานล้นมือ เพียงแค่ทำสิ่งซึ่งต้องปฏิบัติเฉพาะหน้าก็ไม่มีเวลาจะไปคิดอย่างอื่นแล้ว

ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยพบมาก่อน แถมยังต้องปฏิบัติเชื่อมประสานหลายหน่วยหลายพื้นที่ พอพบเหตุการณ์เข้าจริงก็งงสิครับ

เพราะไม่เคยมีแบบอย่างให้ลอกเลียนมาก่อน ถามใครก็ไม่มีใครตอบได้ ครั้นเราจะตอบคนเดียวก็กลัวผิด เมืองไทยไม่ใช่ของเราคนเดียวนี่หว่า

อย่าเลย นิ่งเสียดีกว่า

หลายท่านได้อ่านข่าวและย่อมจำได้ว่า ในวันเดียวกันนั้นมีอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่ 150 คนนี้ ได้เดินทางไปจนถึงที่พักกักตัวที่สัตหีบแล้ว

ทางสัตหีบโดยกองทัพเรือเป็นผู้รับผิดชอบได้ชี้แจงในภายหลังว่า ได้รับทราบเรื่องนี้กระชั้นมาก การเตรียมการจึงไม่สมบูรณ์แบบ

เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงต้องจัดให้พักห้องละสามคน พอเป็นอย่างนี้ก็เกิดแรงต้าน มีผู้ไม่ยอมเข้าที่พักจำนวนหนึ่ง เพราะเห็นว่าการไปพักรวมกันอย่างนั้นกลับเป็นอันตรายยิ่งกว่าการที่จะอนุญาตให้เขากลับไปกักตัวอยู่ที่บ้านเสียอีก

กองทัพเรือเลยพามาส่งที่สุวรรณภูมิตามเดิม

ฟังดูเหมือนข้าวต้มลูกโยนวันออกพรรษาอย่างไรก็ไม่รู้

ทางฝ่ายสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตัวเองก็กระอักกระอ่วน ในที่สุดค่ำวันที่สาม หลังจากปล่อยให้ทุกคนยืนงงมากกว่าหกชั่วโมงแล้วก็บอกให้ทุกคนกลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน

คนที่ผมรู้จักซึ่งมาจากสิงคโปร์ก็กลับบ้านไปแบบงงๆ พอกัน

เช้ารุ่งขึ้นคือวันเสาร์ที่ 4 จึงมีการประชุมเพื่อวางระบบว่าจะทำอย่างไรดีกับเรื่องชนิดนี้ รวมทั้งออกประกาศให้ไปตามหาล่าตัวคนทั้ง 150 คนเศษนั้นกลับมาเข้าระบบกักตัวของรัฐ ซึ่งคนส่วนใหญ่รวมทั้งรายที่ผมรู้จักต่างก็ยินดีให้ความร่วมมือ ขมีขมันไปรายงานตัวและเข้าสู่ระบบกักตัวเป็นที่เรียบร้อย มีที่โต้เถียงเป็นปากเสียงบ้าง แต่สุดท้ายก็จัดการกันได้ครบทุกคน

หลังจากเหตุการณ์สุวรรณภูมิคราวนี้แล้ว มีการทยอยกันเดินทางเข้าประเทศในช่วงเวลาสองสามวันหลังจากนั้น เพราะได้มีการอนุญาตกันไว้ล่วงหน้า ทุกอย่างค่อยเข้าระบบ ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นซ้ำ เพราะมีการประชุมหารือร่วมกันล่วงหน้า

มีการมอบหมายเจาะจงให้เลขาธิการสภาความมั่นคงชาติเป็นผู้อำนวยการแก้ปัญหาในเรื่องนี้

เห็นชัดทีเดียวครับว่า ถ้าจะให้ทำดี ทำเรียบร้อยก็ทำเป็น

เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องมีการมองเห็นภาพรวมที่ข้ามกระทรวงทบวงกรม แล้วบัญชาการมาให้เกิดเอกภาพเสียก่อน

หาไม่แล้ว แต่ละกระทรวงแต่ละกรมก็จะเพ่งเฉพาะแต่งานบนโต๊ะของตัวเองเป็นสำคัญ

คนสั่งหรือคนมอบนโยบาย ต้องมีความเข้าใจและรู้จักระบบราชการเช่นนี้จึงจะเกาถูกที่คัน

มิฉะนั้นแล้วก็จะคันคะเยอเหมือนที่ได้คันมาแล้วที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดังนี้แล