เมอร์คิวรี่ : จับตาอนาคต “วงการมวย” หลังพ้นวิกฤตไวรัสโควิด-19

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ “โควิด-19” ในประเทศไทย ถูกโยงว่ามีต้นตอแห่งแรกๆ มาจากสนามมวย ซึ่งมีคนวงการมวยที่เข้ามาชมการชกมวยรายการใหญ่ที่สนามมวยเวทีลุมพินี รามอินทรา เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา จนแพร่ระบาดไปในวงกว้างทั่วประเทศ

“คนวงการมวย” ถูกตราหน้าว่าเป็น “ต้นเหตุ” การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปโดยปริยาย

แต่อย่างไรก็ตาม คงจะต้องให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มคนมวยเหล่านี้ด้วย เพราะแท้จริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ตั้งใจ และไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จนถูกสังคมมองว่าเป็นชนวนเหตุของเรื่องราว

คนมวยที่ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนกว่าร้อยคน ซึ่งทุกคนต่างแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการเข้ารับการรักษาตัว รวมถึงการกักตัว และออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นแนวทางไม่ให้ผู้อื่นติดเชื้อเพิ่มเติม

ซึ่งล่าสุดหลายคนก็ทยอยหายป่วย ผลตรวจเป็นลบ และกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมคงจะติดภาพของคนวงการมวยกับการเป็นต้นเหตุการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปอีกนานพอสมควร

ดังนั้น เป็นสิ่งที่น่าติดตามว่าหลังจากนี้วงการมวยจะเป็นอย่างไร?

รวมถึงเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด?

และจะสลัดคราบการถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายของสังคมอย่างไร?

 

“เสี่ยโบ๊ท” “ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์” โปรโมเตอร์หนุ่มไฟแรงแห่งศึกเพชรยินดี ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับกรณีของ “วงการมวยไทยจะเป็นอย่างไรหลังโควิด-19”

โดยยืนยันว่า โลกเราก่อนช่วงโควิด-19 และหลังโควิด-19 จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างน้อยหลังจากนี้จะต้องรออีกอย่างน้อย 1 ปีกว่าสภาวะทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ

ช่วงระยะเวลาหลังจากนี้อีก 1 ปีจะนับเป็นช่วงเวลาที่เร็วที่สุดในการรอคอยวัคซีนรักษาไวรัสโควิด-19 หรืออาจต้องรอไปอีก 5-10 ปีหากจะเจอวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุด

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการมวยตอนนี้คือ เกิดการหยุดชะงักการแข่งขันมานานกว่า 1 เดือนแล้ว

ทำให้หลังจากนี้ยังมองภาพไม่ออกว่า วงการมวยจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร?

“ผมพูดแล้วน่าตกใจ แต่มันเป็นเรื่องจริงครับ ที่เราต้องยอมรับความจริงว่า วงการมวยไทย สนามมวยทุกสนามจะกลับมาชกกันเป็นปกติเหมือนเดิมจะทำกันอย่างไร เพราะภาพจำของคนไทยทั้งประเทศตอนนี้เขาจำภาพไปแล้วว่า วงการมวยไทยเป็นวงการแพร่เชื้อโควิด-19 ให้กับคนอื่น”

 

แต่ในแง่ร้ายก็ยังมีแง่ดีอยู่บ้าง เนื่องจากวงการมวยถือเป็นวงการเดียวที่พร้อมเปิดหน้ารับผิดชอบ และพูดความจริงให้สังคมไทยได้รับทราบว่า มีการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว แต่ก็กลายเป็นบาดแผลที่คนไทยทั้งประเทศก็จับตามองอยู่ว่า เมื่อไรที่วงการมวยกลับมาเปิดแข่งขันกันตามปกติก็จะมีหลายฝ่ายเพ่งเล็งมาที่คนวงการมวยอย่างแน่นอน

สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดในวงการมวยจากเรื่องนี้ก็คือ “นักมวย” เพราะเป็นกลุ่มประชากรที่เยอะที่สุดในสังคมมวย ซึ่งนักมวยทุกคนต่างมาจากความยากจนทั้งนั้น พวกเขาหนีความยากจนมาใช้มวยไทยในการหาเลี้ยงชีพของตัวเอง รองลงมาที่ได้รับผลกระทบก็คือ หัวหน้าคณะมวย ที่ช่วงเวลาหลังจากนี้อาจจะแบกรับไม่ไหว ส่วนสนามมวยก็อาจมีผลกระทบบ้างเรื่องไม่มีรายรับ แต่มีรายจ่ายบ้าง

ด้านโปรโมเตอร์มวยส่วนใหญ่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ใช้มวยไทยในการดำเนินหาเลี้ยงชีพของตัวเองเป็นหลัก ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะส่วนมากโปรโมเตอร์จะมีอาชีพหลักในการดูแลตัวเองอยู่แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม จากพิษไวรัสล้างโลกถือว่าส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้กับวงการมวยไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งองคาพยพ

“ค่ายเพชรยินดีของผมใช้ไปแล้วประมาณล้านกว่าบาทในการดูแลนักมวยช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา โดยที่ไม่มีรายรับเข้ามาเลย ซึ่งแบ่งเป็นเงินหกแสนบาทในการช่วยเหลือนักมวย และค่ายมวยในสังกัด ส่วนที่สองการเบิกของหัวหน้าคณะมวยในการดูแลด้านอื่นๆ โดยผมช่วยเพราะความสำนึกในจิตใจของผมเองว่า เราควรจะช่วยคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน หลังจากนี้ก็จะพยายามกัดฟัน อดทน ช่วยเหลือกันต่อไป”

 

ที่ผ่านมาวงการมวยเคยหยุดการแข่งขันเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง และก็สามารถกลับมาได้เหมือนเดิม แต่สำหรับครั้งนี้วงการมวยจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างแน่นอน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปจากไวรัสโควิด-19

ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ช่วยเหลือประคับประคองรากหญ้าของวงการอย่าง “นักมวย” ซึ่งทางรัฐบาล โดย “การกีฬาแห่งประเทศไทย” (กกท.) ก็ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือเข้ามาอย่างเต็มที่ด้วยการวางงบฯ 25 ล้านบาทในการเยียวยานักมวยในช่วงวิกฤตโควิด-19

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักมวยจะได้รับการเยียวยาแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ วงการมวยในภาพรวมหลังจากช่วงวิกฤตโควิด-19 จะเป็นอย่างไร? ซึ่งทาง “เสี่ยโบ๊ท” โปรโมเตอร์ดังแห่งศึกเพชรยินดี แสดงความเห็นอีกว่า จะต้องให้สนามมวยเวทีมาตรฐานอย่าง “ราชดำเนิน” และ “ลุมพินี” หามาตรการทางออกร่วมกันในการจัดมวย รวมทั้งจะต้องรักษาโปรโมเตอร์เอาไว้ให้ได้ เพราะถือเป็นตัวขับเคลื่อนวงการให้เดินหน้าต่อไปได้แม้จะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมทั้งหมดก็ตาม และสิ่งสำคัญก็คือความสามัคคีของคนวงการมวย

“สิ่งเดียวที่จะทำให้วงการมวยไทยกลับมาได้ก็คือ ความสามัคคีของคนวงการมวย เลิกเห็นแก่ตัว เลิกแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทุกคนต้องรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ทุกคนต้องรวมพลังกัน ทั้งลุมพินีและราชดำเนินต้องมาร่วมประชุมพร้อมกัน และหาแนวทางกันว่าเราจะดำเนินการต่อไปอย่างไรกับวงการมวยไทยดี หาแนวทางออกที่จะทำให้รอดกันได้ทุกส่วน”

 

เสี่ยโบ๊ทชี้แจงเพิ่มเติมว่า คนที่มีกำลังมากอย่างสนามมวยก็จะต้องเสียสละมาก รองลงมาเป็นโปรโมเตอร์ก็จะต้องรวมใจกันจัดคู่มวยดีเป็นอย่างแรก ขณะที่หัวหน้าคณะก็ต้องช่วยลดค่าตัวของนักมวยจากเดิมด้วย เพราะช่วงแรกที่จะกลับมาชกยืนยันว่าขาดทุนแน่นอน

นอกจากนี้ สนามมวยจะต้องสร้างมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มข้น โดยจะต้องตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดกับผู้ชม เพราะแน่นอนว่าคนจะเกิดความกลัวแน่นอนในการเข้าชมมวยในสนาม

“ผมเป็นเพียงโปรโมเตอร์ตัวเล็กๆ ในวงการมวยไทยเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจในวงการมวยอะไร ผมก็ช่วยได้แค่นักมวยค่ายในสังกัดเพชรยินดีเท่านั้น ทำให้ผมรู้สึกกังวลกับวงการมวยไทยหลังจากนี้มาก จึงถือเป็นการบ้านสำคัญให้กับคนวงการมวยกลับไปคิดว่าจะกลับมาอย่างไรให้ไม่มีข้อครหานินทาจากสังคม สิ่งที่ผมพูดเพราะผมรักวงการมวย และตั้งแต่ทำมวยมาผมมีแนวทางเดียวคือคิดจะทำอย่างไรให้วงการมวยดีขึ้นกว่าเดิม และไม่เคยคิดว่าจะต้องจัดมวยอย่างไรให้ได้กำไรเลย”

หากทุกฝ่ายในวงการมวยมาร่วมกันพูดคุยหาแนวทางออกร่วมกันในการช่วยประคับประคองวงการมวยไทยที่บอบช้ำอย่างมากจากข้อครหาว่าเป็นผู้ร้ายที่เป็นต้นเหตุของไวรัสโควิด-19 ซึ่งคนวงการมวยหลายคนต่างสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม และออกมาแสดงออกด้วยการบริจาคพลาสมา (น้ำเหลือง) เพื่อใช้ช่วยเหลือรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19

แต่สำหรับตัวคนมวยเองพวกเขายังมองไม่เห็นทางออกของตัวเองว่า หลังจากนี้วงการมวยไทยจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่?

 

ถือว่าเป็นการเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ของคนวงการมวยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย แต่จากแนวทางของ “เสี่ยโบ๊ท” ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์แห่งเพชรยินดี ซึ่งถือเป็นคนมวยเพียงไม่กี่คนที่ออกมาจุดพลุแสดงความคิดหาทางออกให้กับคนวงการมวยทุกฝ่ายได้กลับมาเดินหน้าต่อไปได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตามว่า อนาคตของวงการมวยจะเป็นอย่างไร? หลังผ่านพ้นวิกฤตไวรัสโควิด-19

แต่ท้ายที่สุดนี้เชื่อมั่นว่า หากทุกฝ่ายในวงการมวยรวมใจกันจะช่วยทำให้ผ่านพ้นวิกฤต และฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมในเวลาเพียงไม่นาน

รวมทั้งทุกวงการหากทุกคนมีความสามัคคีกันจะช่วยให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติสุขเช่นเดิมได้แน่นอน…