จรัญ พงษ์จีน : วิกฤตพาวนลูป “นายกรัฐมนตรี” พลิกเป็น “ผู้นำรัฐประหาร”?

จรัญ พงษ์จีน

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม… “บิ๊กตู่” ในปี 2563 ทำท่าจะ “คืนฟอร์ม” เป็น “บิ๊กตู่” คนเดิมเมื่อปี 2557 ด้วยเงื่อนไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “โควิด-19” พลิกวิกฤตพริบตาเดียว กลับมารวมศูนย์อำนาจได้เหมือนเดิม

พรรคร่วมขาใหญ่ ระดับเพาเวอร์บาลานซ์ ไม่ว่า “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” มีฤทธิ์เดชสูงส่ง ยิ่งหลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ กระแสนิยม “พล.อ.ประยุทธ์” ตกแบบไม่มีหูรูด อาการป้อแป้จะไปแหล่มิไปแหล่ ชนิดบีบก็ตายคลายก็รอด

แล้วไงล่ะครับ เงื่อนไขจาก “โควิด-19” ปมเดียวแท้ๆ “บิ๊กตู่” พลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างเหนือชั้น

ก่อนหน้านี้ก็หนหนึ่งแล้ว กับการออกคำสั่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่กำหนดให้หน้าที่ของ “รัฐมนตรี” ตามกฎหมาย ผ่องถ่ายมารวมศูนย์เป็น “อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี”

ทั้งในสัดส่วนของการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บัญชาการ หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุนเฉิน หรือฟื้นฟู และช่วยเหลือประชาชน

มิต่างอะไรกับ “รัฐประหาร-ยึดอำนาจเงียบ”

หลังออกคำสั่ง “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า ชื่อเสียงเรียงนามและความเคลื่อนไหวของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

“อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งๆ ที่เป็นกลไกที่มีความสำคัญกับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” เบอร์ต้นๆ

ขนาด “เสี่ยหนู” เป็นเบอร์ 1 พรรคภูมิใจไทย มีชื่อติดทำเนียบนามว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป

กลับถูกแรงโน้มถ่วงดูดหลุดเฟรมกันหมด แปรสภาพเป็น “ไม้ตีพริก” จมกระเบื้องหายไปแบบไร้ร่องรอย ขณะที่ “บิ๊กตู่” ซึ่งอาการป้อแป้เต็มประดาแด บุญหล่นทับกลับมาขมังเวทย์ และทรงพลังมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่เพียงแต่จะเสมอเหมือน “ยึดอำนาจ” จากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข ตัดตอน “จุรินทร์-อนุทิน” พ้นสนามแม่เหล็ก หากแต่ยังใช้แรงดูดเชิงกล

ด้วยการแจ้งให้หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ หมายถึง “รัฐมนตรีเพื่อทราบ” เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และแนวทางการโอนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เป็นหนังสือ “ลับ” ระบุว่า

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขยายเป็นวงกว้างและครอบคลุมพื้นที่ทุกภาคของประเทศ ส่งผลให้งบประมาณ พ.ศ.2563 งบฯ กลางเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ตั้งไว้ 96,000 ล้านบาท จะไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาและเยียวยา จึงเสนอให้ ครม.อนุมัติการโอนเงินงบประมาณรายจ่ายบางส่วนของหน่วยงานต่างๆ

“อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์เพื่อนำงบประมาณไปใช้สนับสนุนการแก้ปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19”

ฟังอีกครั้งว่า เมื่อก่อน “เจ้ากระทรวง” สังกัดพรรคร่วม ล้วน “หัวร้อน” ลมออกบ้องหู ไม่ค่อยพอใจ “งบฯ กลาง” ก้อนโต ที่กระจุกตัวอยู่ที่ทำเนียบ ให้ “บิ๊กตู่” กดปุ่มเบิกจ่ายได้เพียงผู้เดียว

อยากจะทลายกำแพงเข้ามามีเอี่ยวร่วมหยิบชิ้นปลามัน…แต่คนเรา กฎข้อบังคับของบุญกุศลคนเราไม่เท่ากัน มี 2 มาตรฐาน ไม่ได้สัมผัส “งบฯ กลาง” สักสลึงเดียวแล้ว ยังไปเสียหน้าตัก งบฯ กระทรวงไปอีกต่างหาก

 

“พรรคร่วม” ถูกรวบหัวรวบหางหวานคอแร้งไปสิโยม แล้ว “คนกันเอง” ก็โดนล้างท่อ ปวดตับไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน

กับการที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 8/2563 ว่าด้วยการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ที่ลงนามเมื่อวันที่ 8 เมษายน

เพื่อให้ศูนย์ดังกล่าวบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดด้วยความรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่ในการเข้าร่วมประชุม ให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ การป้องกันและแก้ไขปัญหาภาคธุรกิจเอกชนที่ได้รับผลกระทบ

จำนวน 14 คน “จากตำแหน่ง” โดยมี “เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็นประธาน

ตามด้วยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 9/2563 เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุ สำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดต่อ “โควิด-19” จากหน่วยงานต่างๆ จำนวน 33 คน

ซึ่งคอการเมืองและนักสังเกตการณ์ตั้งวงปุจฉา วิสัชนากันลั่นว่า ทำไม “บิ๊กตู่” ไม่แต่งตั้ง “คนใน” โดยเฉพาะ “ทีมเศรษฐกิจ” ไม่ว่าจะเป็น “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี หรือ “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานหรือมีส่วนร่วมใดๆ

ยิ่งตอกหัวตะปูย้ำชัดมากที่สุด คือการตั้ง “คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจเอกชน” เสริมใยเหล็กในศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ มีการดึงภาคเอกชนระดับตัวกลั่นเข้าร่วม โดยเฉพาะประธานสภาภาคธุรกิจ 8 แห่ง

อันประกอบด้วย “กลินท์ สารสิน-สุพันธุ์ มงคลสุธี-ปรีดี ดาวฉาย-ไพบูลย์ นลินทรางกูร-กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์-ชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร-ศุภชัย เจียรวนนท์”

ขณะที่ “คนภาครัฐ” ก็มีเฉพาะ “ผู้ว่าการแบงก์ชาติ-ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง-เลขาฯ สศช.”

ยังเป็นเขตห้ามเข้าสำหรับรองนายกฯ-รัฐมนตรี หรือ “คนการเมือง”

แม้กระทั่งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ ที่แต่งตั้งตาม “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ปรากฏว่า “บิ๊กตู่” แอสซิสต์ไปให้ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์ นั่งประธาน

ซึ่งสอดรับกับข่าวลือก่อนหน้านี้ แบบเป็นปี่เป็นขลุ่ย กรณีร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินงบประมาณ 1 ล้านล้านบาท แยกเป็นสองกอง 6 แสนล้านสำหรับรักษาเยียวยาด้านสุขภาพของประชาชน 4 แสนล้านสำหรับฟื้นฟูและเยียวยาระบบเศรษฐกิจ โดยงบฯ ทั้ง 2 ส่วนสามารถปรับโอนไปมาได้

ซึ่งปรากฏว่า อีกนั่นแหละ ไม่มีทีมรัฐมนตรีอยู่ในสารบบเลยสักคน ขนาดแถลงข่าวทาง “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องลงมือเอง

จึงเกิดกระแสปากต่อปากว่า มันสมองที่เป็นห้องเครื่อง 1 ล้านล้านบาท ก็มาจาก “กลุ่มคนนอก”

สรุป “พล.อ.ประยุทธ์” หลังวิกฤตโควิด-19 มิต่างอะไรกับคนใกล้สิ้นลม ฟื้นคืนชีพขึ้นมา และได้กระบี่หงส์หยก ฟันเหล็ก ฟันอุปสรรคขาดกระจุย ทุกเรื่องราวยังกะสับหยวกกล้วย

ช่วงนี้เสียงถอนหายใจ กลิ่นการดูถูกดูแคลน “ผู้นำโง่” หายไป