นับถอยหลัง “บิ๊กแป๊ะ” เกษียณ “มนู-สุชาติ-สุวัฒน์” แคนดิเดต “โควิด-19” ด่านพิสูจน์ชิง “ผบ.ตร.”

กองทะเบียนพล สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศรายชื่อข้าราชการตำรวจที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 6 เดือนข้างหน้า จำนวน 5,739 ราย

ปกติแล้วฤดูกาลโยกย้ายประจำปีจะเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม

หนึ่งในนั้นมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ที่เตรียมถอดหัวโขน อำลาตำแหน่งแม่ทัพสีกากี ที่ทำหน้าที่มาอย่างยาวนาน

จนได้ฉายาว่า “พิทักษ์ 1 กึ่งทศวรรษ”


ตลอดระยะเวลาที่เป็นผู้นำองค์กรนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นผู้นำที่มีครบเครื่อง ทั้งบู๊และบุ๋น มีผลงานออกมามากมายจนเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนรู้สึกรักใคร่ จนรู้สึกเสียดายเมื่อทราบว่า “บิ๊กแป๊ะ” ต้องลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร. เนื่องจากเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้

ยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีภารกิจในการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะเป็นการตั้งด่านโควิด-19 ชุดเคลื่อนที่เร็ว การตั้งจุดตรวจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ รวมถึงการดำเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยเฟกนิวส์สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน

ภารกิจต่างๆ ต้องใช้กำลังตำรวจเป็นจำนวนมากในการร่วมคลี่คลายสถานการณ์

พล.ต.อ.จักรทิพย์บอกว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ประเทศไทยต้องการความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย ขอให้หยุดสร้างความเกลียดชังและความขัดแย้งในสังคม ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในอันที่จะนำพาประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปให้ได้

เมื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์เหลือเวลาในตำแหน่งอีกเพียง 6 เดือน แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าจะคลี่คลายลงเมื่อใด อาจจะกินเวลายืดเยื้อไปกว่า 1 ปี เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะทำให้มีคนว่างงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลถึงการก่ออาชญากรรม ลัก วิ่ง ชิง ปล้น กันมากขึ้น

ซึ่งผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็น “ผู้นำกรมปทุมวัน” คนต่อไป ต้องมาสานต่องาน และขับเคลื่อนนโยบายดูแลทุกข์สุขของประชาชน เป็นผู้นำองค์การ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”

เชื่อว่าทั้งผู้มีอำนาจในการตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้นำอาณาจักรโล่เงินต่อไปนั้น ได้เริ่มจับตาบรรดาแคนดิเดตทั้งหลายมานานแล้ว ยิ่งสถานการณ์ไวรัสร้ายแพร่ระบาด ยิ่งเป็นโจทย์ให้เริ่มจับฝีมือกันตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

จากบทบาทของรอง ผบ.ตร. ที่เป็นแคนดิเดตได้นั่งเก้าอี้แม่ทัพสีกากีคนต่อไป ต่างกำลังทำหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 ตามที่ ผบ.ตร.มอบหมาย

ไล่เรียงตั้งแต่

พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก ที่รับผิดชอบงานบริหาร เกษียณราชการในปี 2564 ได้รับมอบหมายให้มานั่งเป็นประธานคณะกรรมการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ซึ่งศูนย์ดังกล่าวทำหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง และมีประชุมทุกวันในเวลา 10.00 น. โดย พล.ต.อ.มนูจะเป็นผู้คอยรวบรวมและรายงานผลการปฏิบัติในส่วนต่างๆ ให้ ผบ.ตร.และรัฐบาลทราบ

ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เพื่อนร่วมรุ่น นรต.36 กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ผ่านมารับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและสืบสวนสอบสวน ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กำกับดูแล ทำความเข้าใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่น สั่งการในภาพรวมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

โดยรับภารกิจจากกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) และประสานงานการปฏิบัติกับกลไกหลักของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศผ่าน กอ.รมน.จังหวัด ขับเคลื่อนการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยร่วมปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังการตั้งจุดตรวจควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศ มีเสียงสะท้อนจากกำลังพลหน้าด่านหลายนายที่ไม่เห็นด้วย เพราะกลัวเสี่ยงติดเชื้อโรค ก็ได้มีการแก้ไขปัญหาโดยการนำอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ไปมอบให้ เพื่อบรรเทาความเสี่ยง

แคนดิเดตอีกราย อย่าง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ เพื่อนร่วมรุ่น พล.ต.อ.จักรทิพย์เช่นกัน ที่รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปราม และเป็น ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

นอกจากจะทำหน้าที่ออกตรวจด่านสกัดโควิด-19 แล้ว ยังทำหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบที่อาจมีผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสกระทำความผิด สร้างความเดือดร้อนซ้ำเติมประชาชน

ตามสั่งการของ ผบ.ตร. ที่ให้เพิ่มความเข้มในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นการตัดช่องโอกาสในการกระทำความผิดของมิจฉาชีพและผู้ไม่หวังดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมที่กระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน เช่น การรวมตัวกันแข่งรถในทาง การขับขี่รถขณะเมาสุรา หรือการประทุษร้ายต่อชีวิต ทรัพย์สิน

รวมไปถึงการขยายผลจับกุมแก๊งค้ายาเสพติด ที่อาศัยจังหวะการแพร่ระบาดของเชื้อโรคกระทำความผิด

อีก 6 เดือนข้างหน้า ใครที่จะได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่

จึงมีบทพิสูจน์ฝีมือการทำงานของ “แคนดิเดต” ที่ต้องร่วมกันฝ่าวิกฤต แก้ปัญหา จนสามารถเข้ามาครองใจผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนได้

การแต่งตั้งครั้งนี้คงไม่ใช่เพียงมีคอนเน็กชั่นกับผู้มีอำนาจอย่างเดียว

แต่มีตัวแปรเป็นสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นสำคัญ