บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ / ‘สุดารัตน์’ ควรเป็นที่ปรึกษา WHO ช่วยโลก ‘สยบโควิด-19’ ใน 21 วัน

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

‘สุดารัตน์’ ควรเป็นที่ปรึกษา WHO

ช่วยโลก ‘สยบโควิด-19’ ใน 21 วัน

 

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่และวงการแพทย์ยังไม่รู้วิธีรักษาโดยตรง และไม่มีวัคซีนป้องกันหรือรักษา ซึ่งจนถึงเวลานี้คนทั่วโลกตายไปแล้วเกือบแสน ติดเชื้อแล้วกว่า 1 ล้านคน

เป็นวิกฤตการณ์ที่ถึงตอนนี้หลายคนต่างเอ่ยปากว่า ในแง่เศรษฐกิจ รุนแรงกว่าวิกฤตการเงิน ส่วนในภาพรวมรุนแรงที่สุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2

อย่างที่ทราบกัน เวลานี้สหรัฐอเมริกาและยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดแทนจีน สถานการณ์หนักหน่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอเมริกา อิตาลี และสเปน ที่มีผู้เสียชีวิตหลักหลายร้อยคนต่อวัน

การพุ่งขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วและมากในยุโรปและอเมริกาก่อให้เกิดการขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์ในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นหน้ากาก ชุดป้องกันเชื้อโรค เครื่องช่วยหายใจ แต่ละประเทศต่างแย่งชิงกันระดมสั่งซื้อจากทั่วโลก บางประเทศถึงกับห้ามส่งออกสินค้าเหล่านี้เพื่อสงวนไว้ใช้ในประเทศ แบบเดียวกับที่ไทยห้ามส่งออกหน้ากาก

สภาพดังกล่าวคงพอจะตอบข้อสงสัยของดาราชายคาสโนว่าชาวไทยคนหนึ่งที่ถามว่าทำไมรัฐบาลมีเงินมากมายจึงไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างได้เพียงพอ

 

ยังไม่มีใครแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของโลก สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนว่าจะควบคุมการแพร่ระบาดได้เมื่อใด แต่สำหรับประเทศไทยนั้น มีคนคนหนึ่งเก่งที่สุด เพราะเธอบอกว่า ถ้ารัฐบาลไทยใช้วิธีของเธอจะสามารถสยบโควิด-19 ได้ภายใน 21 วัน

คนคนนั้นชื่อสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย

ถ้าสยบได้ใน 21 วันนี่ ถือว่าเก่งกว่าจีนด้วยซ้ำไป เพราะจีนที่สามารถคุมการระบาดลงได้ก่อนใคร ยังต้องปิดเมืองสนิทถึง 2 เดือน

ถ้าสุดารัตน์เก่งขนาดนั้น น่าจะไปเป็นที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งนานแล้ว จะได้ให้คำแนะนำทั่วโลกแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้ไม่มีคนติดเชื้อและเสียชีวิตมากขนาดนี้

ที่ต่างประเทศ จะมีเพียงผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเท่านั้นที่จะออกมาเสนอแนะรัฐบาลในเชิงวิชาการหรือวิธีการควบคุมโรค เพราะเรื่องโรคภัยต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ต้องการความแม่นยำสูง

แต่สำหรับประเทศไทยนั้น นักการเมืองที่เป็นเพียงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และไม่ได้มีดีกรีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ออกมาโพสต์สั่งสอนรัฐบาลและบุคลากรสาธารณสุขแทบจะรายวัน

เธอบอกว่ายุทธการสยบโควิด-19 ภายใน 21 วัน ของพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย

  1. ป้องกันผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ให้เข้าประเทศ โดยห้ามการเดินทางเข้าประเทศ หรือกักตัว 14 วัน โดยควรทำตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว
  2. ค้นหาผู้ติดเชื้อในประเทศให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุด โดยใช้กลไกสาธารณสุขและมหาดไทยปูพรมตรวจหาผู้ติดเชื้อทุกหมู่บ้าน หัวใจหลักคือ ต้องให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจ COVID-19 ฟรีให้ได้มากที่สุด

ว่าไปแล้วก็เป็นคำแนะนำพื้นๆ ที่ทำกันอยู่แล้ว

เธอโจมตีรัฐบาลว่า ทำงานสะเปะสะปะ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่รู้จะคุมการระบาดได้เมื่อไหร่ จำนวนผู้ป่วยยังไม่ลดลง อุปกรณ์การแพทย์ก็ขาดแคลนจนต้องขอรับบริจาค

ระดับการโจมตีของเธอนั้น รุนแรงราวกับว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อและตายมากที่สุดในโลก ทั้งที่ประเทศไทยอยู่อันดับ 30 กว่าเกือบ 40 มีผู้ติดเชื้อ 2 พันกว่า เสียชีวิตหลักสิบ

แต่อเมริกาซึ่งเคยได้คะแนนควบคุมโรคระบาดดีอันดับ 1 ของโลก กลับมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากอันดับ 1 ของโลกเกือบ 4 แสนคน และตายหมื่นกว่าคน

 

ด้วยเหตุที่อเมริกากับยุโรปกลายเป็นสถานที่อันตราย คนไข้ล้น แพทย์และอุปกรณ์ไม่เพียงพอ คนตายมาก จึงทำให้ในระยะหลังคนไทยในต่างแดนเหล่านี้อยากกลับประเทศ เพราะถึงอย่างไรก็อุ่นใจกว่า กลับมาที่นี่อย่างน้อยก็เป็นพลเมืองชั้นหนึ่งและระบบดูแลผู้ติดเชื้อก็ดีกว่าหลายเท่า

อย่างน้อยการที่คนไทยหลั่งไหลกลับประเทศ ก็ย่อมพิสูจน์ระดับหนึ่งว่า ประเทศไทยเป็นที่พึ่งพาได้มากกว่าเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ

ข้อเสนอของคุณสุดารัตน์เรื่องการห้ามคนภายนอกเดินทางเข้าประเทศไทยนั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะกล้าปิดประเทศแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์หรือไม่ เพราะไม่ง่ายเลยและจะมีผลกระทบสูงมาก

อีกอย่าง การจะห้ามคนไทยกลับประเทศก็ทำไม่ได้ เพราะนี่แค่ชะลอคนไทยไม่ให้เดินทางเข้าประเทศชั่วคราว คนพรรคเดียวกับคุณสุดารัตน์ยังออกมาด่ารัฐบาลเลย หาว่าละเมิดสิทธิลูกของเขา

สำหรับเรื่องการค้นหาผู้ติดเชื้อนั้น คุณสุดารัตน์เอาหลักฐานตรงไหนมาหาว่าเขาไม่ทำ เพราะทุกวันนี้เขาก็สืบค้นอยู่แล้วด้วยการคลำจากต้นเชื้อว่าไปสัมผัสใครมาบ้าง จะไปค้นหาสะเปะสะปะไม่ได้ หรือถึงอยากทำก็คงทำไม่ไหวเพราะมีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากร

ส่วนการตรวจเชื้อโควิด-19 ให้ได้มากที่สุดนั้น ในระยะแรกก็มีข้อจำกัดเรื่องน้ำยาตรวจเชื้อและจำนวนแล็บ จึงเน้นการตรวจให้กับผู้มีความเสี่ยงก่อน แต่ระยะหลังนี้มีการเพิ่มการผลิตน้ำยาตรวจเชื้อและเพิ่มจำนวนแล็บแล้ว การตรวจก็ทำได้มากขึ้น

 

สําหรับเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ขาดแคลนนั้น หากพูดตามเนื้อผ้าไม่อคติเกินไป ทั่วโลกก็เกิดปัญหาแบบเดียวกัน หากติดตามข่าวก็จะพบว่าแม้แต่ในอเมริกาก็มีปัญหานี้เช่นกัน เช่น พยาบาลในนิวยอร์กไม่มีชุดป้องกันเชื้อ ต้องนำชิ้นพลาสติกมาหุ้มตัวไปตามมีตามเกิด

มีการพูดกันมากว่าการค้นหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุดด้วยการตรวจเชื้อฟรีให้ประชาชนนั้นเป็นวิธีการที่ได้ผล แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็น่าสงสัย เพราะอย่างเยอรมนีก็ถือว่ามีการตรวจหาเชื้อในสัดส่วนที่สูง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ติดเชื้อเกิน 1 แสนราย (ณ ขณะเขียนต้นฉบับ) อีกทั้งผู้นำเยอรมนียอมรับเองว่าอาจมีประชากรมากถึง 70% หรือประมาณ 58 ล้านคนติดเชื้อ

นั่นแสดงว่ามาตรการป้องกันไม่ดีพอตั้งแต่ต้น และส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะค่านิยมไม่สวมหน้ากากอนามัยของคนตะวันตก อาจเป็นสาเหตุให้การติดเชื้อลุกลามเร็วในวงกว้าง กระทั่งว่าจะตรวจกี่คนก็เจอเชื้อเกือบหมด ถ้าใช้เกณฑ์ว่าประเทศไหนตรวจประชาชนได้มากกว่า เท่ากับว่ามีประสิทธิภาพกว่าไม่น่าจะจริง เพราะถ้าคุณตรวจ 1 แสนเคสแล้วเจอเชื้อ 8 หมื่นเคสนี่ ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจ

ในยุโรปและอเมริกานั้น มาตรการหนึ่งที่ทำเหมือนกันคือปิดสถานที่เสี่ยง รักษาระยะห่าง ให้ภาคธุรกิจทำงานจากที่บ้าน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ทำเหมือนกันคือไม่แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย อ้างว่าไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ เลยมีประชาชนถามว่า ถ้าหน้ากากป้องกันเชื้อโรคให้หมอได้ แล้วทำไมป้องกันประชาชนไม่ได้

จึงเริ่มมีเสียงบ่นจากประชาชนว่ารัฐปกปิดความจริง เหตุผลแท้จริงที่ไม่ให้ประชาชนสวมหน้ากาก ไม่ใช่อย่างอื่นแต่เป็นเพราะกลัวหมอจะขาดแคลน

ดังนั้น เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐและ WHO กลับลำครั้งใหญ่ ด้วยการแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากแบบผ้า

เมื่อได้ยินคุณสุดารัตน์โจมตีรัฐบาลเรื่องโควิด-19 พร้อมกับอวดอ้างว่าสมัยรัฐบาลทักษิณ (ซึ่งมีคุณสุดารัตน์เป็น รมว.สาธารณสุข) เคยคุมโรคซาร์สและไข้หวัดนกสำเร็จมาแล้ว ก็สมควรหมายเหตุไว้ในที่นี้ด้วยว่าสามารถคุมการระบาดตามกรอบเวลาได้หรือไม่ เช่น โรคหวัดนกบอกว่าจะคุมให้ได้ใน 30 วัน (คุณทักษิณประกาศเมื่อ 29 กันยายน 2547)

ในความเป็นจริงสำเร็จหรือไม่ คุณสุดารัตน์ต้องตอบให้ได้ และที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าปกปิดข้อมูลไว้เป็นเวลานาน เพราะกลัวอุตสาหกรรมสัตว์ปีกจะพัง เป็นความจริงหรือไม่

(แต่สุดท้ายพังหนักกว่าเดิมเพราะต่างชาติแบนไม่นำเข้าไก่ไทย)