ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์ / THE GENTLEMEN ‘อาชญากรรมระบบ’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

THE GENTLEMEN

‘อาชญากรรมระบบ’

 

กำกับการแสดง Guy Ritchie

นำแสดง Matthew McConaughey Hugh Grant Charlie Hunnam Henry Golding

Colin Farrell Eddie Marson Michelle Dockery

 

The Gentlemen เป็นเรื่องของมิกกี้ เพียร์สัน (แมตธิว แม็กคอนอเฮย์) เจ้าพ่อในวงการ “อาชญากรรมระบบ” (organized crime) เจ้าของอาณาจักรค้ากัญชารายใหญ่ของโลก ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในอังกฤษ

มิกกี้คลุกคลีอยู่ในวงไฮโซของอังกฤษ มีเพื่อนในระดับสูง ทำความคุ้นเคยกับบุคคลที่มีชื่อเสียงและฐานันดรศักดิ์

โดยเฉพาะขุนนางอังกฤษที่ครอบครองคฤหาสน์และที่ดินมรดกตกทอด แต่กำลังเผชิญหน้ากับสภาวะเศรษฐกิจของตระกูลซึ่งต้องแบกค่าใช้จ่ายมหาศาลโดยมีรายได้มาชดเชยไม่เพียงพอ

มิกกี้ให้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำแก่ขุนนางอังกฤษโดยขอเช่าที่ดินสร้างอาณาจักรใต้ดินอันทันสมัยเป็นระบบระเบียบ เพื่อทำเกษตรกรรมปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นกัญชา

มิกกี้มี “คุณธรรม” ประจำใจของตัวเองเหมือนกัน นั่นคือเขาไม่ค้ายาเสพติดรุนแรงชนิดอื่น เพราะกัญชาไม่ส่งผลร้ายแรงต่อผู้คนเหมือนเฮโรอีน ขณะที่คู่แข่งรายใหญ่ของเขาเป็นแก๊งค้ายาชาวจีน ประเภทเดียวกับอั้งยี่

เนื่องจากกัญชากำลังจะกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญในอาชีพนอกกฎหมายของเขา อีกทั้งมิกกี้ยังต้องการเกษียณตัวเองออกจากวงการไปใช้ชีวิตอันหรูหรากับภรรยา โรซาลินด์ (มิเชลล์ ด็อกเคอรี่)

อาณาจักรกัญชาอันยิ่งใหญ่ของเขาจึงถูกนำออกเสนอขายในวงการใต้ดิน

 

ผู้สนใจมีสองราย คือ แมตธิว เบอร์เกอร์ (เจเรมี สตรอง) เจ้าพ่อชาวอเมริกัน

และอาตี๋เจ้าของฉายา “ดราย อาย” (เฮนรี โกลดิ้ง หนุ่มหน้ามนจาก Crazy, Rich Asians) ผู้โหดเหี้ยม ลูกหลานของเจ้าพ่อค้ายาชาวจีน

แน่นอนว่าผู้ขายย่อมอยากได้ราคาสูงสุด ส่วนผู้ซื้อก็ย่อมอยากได้ราคาต่ำสุด ราคาจึงเปลี่ยนแปรไปตามสถานการณ์อันผันแปร

จึงเป็นเรื่องราวของการเชือดเฉือน หักหลัง แบล๊กเมล์ ขู่กรรโชก การลักพาตัว ฆาตกรรม และกลยุทธ์ชั้นเซียนแบบเหนือฟ้ายังมีฟ้า

กลวิธีการเล่าเรื่องราวอันพลิกผันแบบบอกล่วงหน้าไม่ได้ว่าจะลงเอยอย่างไรนี้ เป็นเหมือน “ละครซ้อนละคร” แบบหลายทบหลายซ้อนเสียด้วย

นั่นคือ เรื่องราวทั้งหมดถูกนำเสนอจากปากคำของเฟลตเชอร์ (ฮิว แกรนต์) นักข่าวเรื่องราวฉาวโฉ่ผู้ขุดคุ้ยสืบเสาะจนได้เรื่องราวของมิกกี้ดังที่กล่าวข้างต้น

เฟลตเชอร์มาพบเรย์มอนด์ สมิธ หรือเรย์ (ชาร์ลี ฮันนัม) สมุนมือขวาของมิกกี้ ผู้เกี่ยวพันอยู่ในเหตุการณ์ โดยเล่าเรื่องราวปะติดปะต่อตามที่เขาสืบรู้มา และเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นเหตุเป็นผล

ทั้งหมดนี้เขาเขียนเป็นสคริปต์หนังโดยใช้ชื่อเรื่องว่า Bush

 

Bush เป็นภาษาปากที่คนบางคนใช้เรียกกัญชา แต่นอกจากนั้นยังเป็นคำที่ทำให้นึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งชื่อสกุลของบุคคลสำคัญระดับโลก

เฟลตเชอร์ขู่จะเปิดโปงเรื่องราวทั้งหมด ถ้าไม่ได้รับค่าปิดปากจำนวนสูงลิ่ว

คนดูจึงได้รับรู้เรื่องราวจากการเล่าเรื่องของตัวละคร ในแบบที่เขียนออกมาเป็นบทหนัง ซึ่งคงมีการใส่ไข่ใส่ดราม่า สร้างเรื่องราวให้หวือหวาน่าติดตาม ชวนลุ้นระทึก

ถึงที่สุดแล้ว เราต้องนำมาประมวลเอาเองว่าอะไรจริง อะไรเป็นการปั้นน้ำเป็นตัว

ทำให้ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด เพื่อตัดสินว่าอะไรจริงอะไรเท็จ

นอกจากพล็อตที่ซับซ้อนวกวนแล้ว ยังมีการวางตัวละครแบบหวือหวา ตัดสินไม่ได้ว่าใครพระเอก ใครเป็นผู้ร้าย

ตัวละครที่มีสีสันชวนเร้าใจ คือ โรซาลินด์ ภรรยาสาวสวยของมิกกี้ ซึ่งเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ ซึ่งล้วนใช้ “นางช่าง” ไม่ใช่ “นายช่าง”

และโรซาลินด์สาวงามผู้สวมรองเท้าส้นสูงลิบลิ่วเหมือนตึกระฟ้า จนนึกไม่ออกว่าจะเดินอยู่ได้สักกี่ก้าวบนส้นสูงคู่นี้ มีฉากชวนระทึกที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องทีเดียว

คอลิน ฟาร์เรลล์ เล่นเป็นนักมวยที่ใครๆ เรียกกันว่า “โค้ช” และเป็นเฟืองจักรกลตัวหนึ่งในแวดวงอาชญากรรมนี้

ขณะที่ชาร์ลี ฮันนัม ในบทของ “เรย์” ก็มีฉากเด็ดๆ หลายฉาก รวมทั้งการรับหน้าที่บุกเข้าไปในรังของอันธพาลต่างถิ่น เพื่อไปรับตัวสาวไฮโซผู้ตกเป็นทาสยาเสพติดมาคืนให้ครอบครัว

 

นี่ยังไม่ได้พูดถึงความเลือดเย็นของ “ดราย อาย” ซึ่งน่าจะได้รับฉายานี้มาจากความเหี้ยมโหดและใจแข็ง จนไม่เคยเสียน้ำตาให้ใคร

“ดราย อาย” มีฉากที่ทำให้คนดูหยุดหายใจชั่วขณะอยู่สองสามหน

แต่ตัวละครที่แสบสันต์ที่สุดตกอยู่ในมือของฮิว แกรนต์ หลังๆ นี้ฮิว แกรนต์ ไม่ใช่หนุ่มกะล่อนไม่เป็นโล้เป็นพายตามสเตอริโอไทป์ที่เขาเคยได้รับมาจาก Four Weddings and a Funeral หนังเรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เขา แต่หลังๆ นี้เขาได้บทดีๆ เล่นและเล่นได้แบบ “มือถึง” หลายเรื่อง รวมทั้ง A Very English Scandal เมื่อปีที่แล้ว

นี่ยังไม่ได้พูดถึงตัวละครศูนย์กลางของเรื่อง คือ มิกกี้ เพียร์สัน ที่แมตธิว แม็กคอนอเฮย์ เล่นนะคะ

 

The Gentlemen เป็นฝีมือกำกับฯ ของกาย ริชชี่ ตามสไตล์ประจำตัวของเขา

เป็นหนังที่พราวระยับไปด้วย “สไตล์” แบบเท่ๆ

แต่ออกจะซับซ้อนไปหน่อยจนทำให้ “เหนื่อย” ระหว่างดู

แต่ถึงอย่างไรก็มีตอนจบที่น่าพอใจค่ะ