ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเชื้อโควิด-19 จะทำให้ชีวิตผู้คน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
ความรุนแรงของเชื้อหยิบยื่นความตายให้กับผู้คนในเวลาอันสั้น หมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์กลายเป็นนักรบอยู่แนวหน้า เศรษฐกิจพังพินาศ ผู้คนว่างงานล้นทะลัก แต่ละประเทศสั่งล็อกดาวน์ให้คนเก็บตัวอยู่กับบ้าน กิจกรรมทางสังคมหยุดสนิท
ตัวเลขเมื่อวันจันทร์ที่ 6 เมษายน “โควิด” กลายเป็นเชื้อมรณะ คร่าชีวิตชาวโลกไปแล้วเกือบ 7 หมื่นคน อีกเกือบ 1,300,000 คน เป็นผู้ป่วยติดเชื้อ ในจำนวนนี้อยู่ในขั้นโคม่าราว 5 หมื่นคน
ผู้คนราว 3 พันล้าน โดนมาตรการ “กักกัน” ให้อยู่แต่ในบ้าน ทำงานจากบ้าน จะเดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้อิสรเสรีเหมือนเก่า
แต่ละประเทศบังคับให้คนเข้าเมืองต้องผ่านการตรวจร่างกายอย่างเข้มงวด ต้องกักตัวไว้ก่อน ดูว่าติดเชื้อมาหรือเปล่า
“โควิด” ทำให้ผู้คนหวาดผวา เกิดอาการเครียด หวาดระแวงซึ่งกันและกัน สำนักงานร้านค้าต่างมีเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย ใครอุณหภูมิสูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียส ห้ามเข้า
ใครไม่ใส่หน้ากากอนามัยกลายเป็นคนน่ารังเกียจของสังคม
หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ถุงมือ ชุดป้องกันเชื้อและเครื่องวัดอุณหภูมิกลายเป็นสินค้าจำเป็น
พ่อค้าแม่ค้าตั้งราคาขายตามใจชอบ หน้ากากบางยี่ห้อปั่นราคาเป็นร้อยบาท น้ำยาฆ่าเชื้อโรคขวดละ 1,200 บาท จากเดิมขายกันแค่ขวดละไม่ถึง 500 บาท
เป็นการค้าที่เอาเปรียบเห็นแก่ได้ เหยียบย่ำซ้ำเติมสังคมที่กำลังอยู่ในห้วงทุกข์เข็ญลำเค็ญ
ในชั่วโมงนี้ รัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จัดการกับปัญหาการกักตุนขูดรีดราคาสินค้าได้อย่างห่วยสุดๆ
ความจริงแล้ว เรื่องหน้ากากอนามัย ชุดป้องกันและน้ำยากำจัดเชื้อโรคนี้รัฐบาลต้องเห็นเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดมาตั้งแต่เชื้อโควิดแพร่ระบาดในจีนเมื่อเดือนมกราคมโน่น
การที่จีนออกมาตรการบังคับให้คนที่ออกมานอกบ้านใส่หน้ากากอนามัยทุกคน ใครไม่ใส่หน้ากากจะโดนลงโทษได้ผล จำนวนคนติดเชื้อลดลง
การใส่หน้ากากอนามัยจึงเป็นการป้องกันเชื้อแพร่กระจายได้เป็นอย่างดี
ถ้ารัฐบาลฉุกคิดในการป้องกันการแพร่ระบาดเบื้องต้นด้วยการแจกฟรีหน้ากากให้คนไทยใส่ทั้งประเทศ เศรษฐกิจไทยจะไม่พินาศอย่างที่เป็นอยู่ เพราะไม่จำเป็นต้องปิดเมือง ไม่ต้องใช้งบประมาณเป็นแสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ
ราคาหน้ากากอนามัยนั้น หากรัฐบาลจัดให้ฟรีๆ เชื่อว่าต้นทุนจริงน่าจะอยู่ที่ชิ้นละ 1 บาท แจกทั่วประเทศ 66 ล้านคน คนละ 2 ชิ้น ใช้งบประมาณไม่น่าจะเกิน 300 ล้านบาท
เมื่อแจกให้ฟรีแล้ว รัฐบาลออกคำสั่งบังคับให้ทุกคนต้องใส่เมื่อออกจากบ้าน ใครไม่ใส่มีโทษปรับเพราะถือเป็นการละเมิดกฎหมายควบคุมโรคและกติกาสังคม
แต่รัฐบาลกลับมองข้ามหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันเชื้อปล่อยให้พ่อค้าฉกฉวยเอาไปกักตุนทำกำไร ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้จัดชุมนุมทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่ได้ใช้มาตรการควบคุมระบบการแพร่เชื้อโรคอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการแข่งชกมวย เปิดผับ สถานบริการบันเทิงเริงรมย์และให้นักท่องเที่ยวนานาชาติเดินกันเพ่นพ่าน ฯลฯ
ผลที่ตามมา จำนวนคนติดเชื้อโควิดพุ่งพรวดถึง 2 พันคน
เมื่อเชื้อแพร่ระบาดไปทั่ว รัฐบาลออกมาล็อกดาวน์ ปิดเมือง ห้ามการชุมนุม เป็นมาตรการที่สร้างความอลหม่านให้กับเศรษฐกิจประเทศ ร้านค้าปิด โรงงานหยุด ผู้คนตกงานระนาว
วันนี้ รัฐบาลอีกนั่นแหละ ต้องงัดมาตรการยุ่บยั่บหวังพยุงเศรษฐกิจประเทศ ใช้เงินนับแสนล้านบาทซึ่งไม่รู้ว่าจะพยุงได้นานแค่ไหนและจะสำเร็จหรือเปล่า?
การล็อกดาวน์ ปิดเมือง สังคมไร้กิจกรรม ตลอดทั้งเดือนเมษายนนี้ถ้ายังเอาไม่อยู่ เชื้อระบาดไม่หยุด นอกจากทำให้เศรษฐกิจพังพินาศแล้ว
ผู้คนจะพากันเครียดหนักขึ้นจนอาจนำไปสู่ภาวะปั่นปวนจลาจลวุ่นวายก็เป็นได้
รัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อย่าประมาทเป็นอันขาด
ตั้งแต่เชื้อโควิดแพร่ระบาดมีคลิปเรื่องเล่าของผู้ประสบเคราะห์กรรมอยู่ในโลกออนไลน์มากมาย บ้างก็เป็นหมอ- พยาบาลเล่าถึงความทุกข์ยากในการช่วยเหลือคนไข้ การใช้ชีวิตเป็นอยู่ท่ามกลางเชื้อโรคอย่างยากลำบาก แม้กระทั่งการร้องขอให้ชาวบ้านหยุดกักตุนสินค้า เพราะออกเวรเฝ้าคนป่วยไปหาซื้อของกินก็ไม่มีขาย สินค้าหมดเกลี้ยงร้านก่อน
คลิปคนป่วยที่เผชิญกับโรคร้ายอย่างแสนทรมาน ท่ามกลางอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่มีไม่เพียงพอ
คลิปที่ฉายให้เห็นถึงความหวาดกลัวของผู้คนที่มีต่อโรคโควิด เมืองใหญ่กลับมีสภาพร้าง ถนนโล่งไม่มีรถแล่นขวักไขว่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งธุรกิจที่ไม่เคยหลับใหล แต่ละวันมีคนเดินไปมานับเป็นหลายหมื่นคน
ในคลิปที่อังกฤษ สัปเหร่อได้รับคำสั่งให้ขุดหลุมฝังศพเพิ่มเตรียมรอรับศพใหม่ๆ จากโรงพยาบาลทั้งที่ยังมีคนไข้นอนป่วย
หรือคลิปฉายให้เห็นภาพซากศพนอนตายข้างถนน ไม่มีหน่วยงานใดมาจัดการเก็บ
มีอยู่คลิปหนึ่งซึ่งดูแล้วรู้สึกสะเทือนใจ เป็นคลิปของ “เจสัน ฮาร์โกรฟ” คนขับรถเมล์ประจำทางในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา
“ฮาร์โกรฟ” วัย 50 ปี โพสต์คลิปบันทึกภาพและเสียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทำหน้าที่ขับรถส่งผู้โดยสาร
“หญิงวัยกลางคน ราวๆ 50-60 ปี ขึ้นมาบนรถ แล้วก็ไอหลายครั้ง ไอไม่ปิดปาก ทั้งที่เป็นช่วงเวลาเชื้อโรคกำลังแพร่ระบาด ผมรู้สึกหงุดหงิดกับพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้ แต่ก็ต้องปิดปากเงียบ เพราะทำงานบริการสาธารณะ ทำเพื่อดูแลครอบครัวของเราอย่างซื่อสัตย์ แต่ผู้โดยสารคนนี้กลับไม่รู้สึกแยแสอะไรเลย”
คำพูดและสีหน้าของ “ฮาร์โกรฟ” แสดงถึงความรู้สึกขมขื่น ผิดหวังและคับข้องใจผู้หญิงที่โดยสารมากับรถคนนั้น
รัฐมิชิแกน เป็น 1 ในมลรัฐที่ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อีก 11 วันหลังโพสต์คลิป “ฮาร์โกรฟ” เสียชีวิตเพราะติดเชื้อโควิด ทิ้งเมียและลูกอีก 6 คนเผชิญชะตากรรมเคว้งคว้าง
คลิปมรณะนี้ ผู้บริหารเมืองดีทรอยต์วิงวอนให้คนอเมริกันดูกันเยอะๆ เป็นกรณีตัวอย่างจนกลายเป็นไวรัลแพร่สะพัดทั่วอเมริกามีผู้เข้าชมกว่า 5 แสนครั้ง
“ฮาร์โกรฟ” ทำหน้าที่เป็นสารถีรับ-ส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย ในเมืองดีทรอยต์ซึ่งเคยเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่เคยคิดว่าจะมีคนแพร่เชื้อร้ายใส่จนเสียชีวิตอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ถ้าผู้หญิงคนแพร่เชื้อไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ แต่พฤติกรรมการไอในที่สาธารณะโดยไม่ปิดปากถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง
และหากรู้ว่าเป็นคนป่วยมีเชื้อโรคอยู่ในตัว การจงใจไอให้เชื้อร้ายแพร่กระจายเยี่ยงนี้ก็ไม่ต่างกับผู้ปล่อยมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อม
ท้ายนี้หวังว่าคนไทยทุกคนจะผ่านพ้นวิกฤต “โควิด-19” ด้วยสุขภาพกายแข็งแรงและสุขภาพจิตที่เข้มแข็ง