การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ความเลอะเลือนของฉัน

“…สาธุโอกาสะ ข้าแต่พระยาพรหมยมราชผู้เป๋นเจ้า ข้าแต่ท้าวทั้งสี่ที่ปกปักรักษา ข้าแต่พระยานาคะราจาอันสถิตอยู่ใต้หล้าบาดาลก่ดี อันเทวบุตรเทวดาที่เหินเหาะลอยอยู่บนอากาศบัดนี้…

บัดนี้ตั๋วผู้ข้าจักขอแต่งเครื่องสักการะปูจา ด้วยดวงข้าวตอกดอกไม้แลลำเทียน พร้อมด้วยข้าวปลาอาหารพรั่งพร้อม ขอน้อมถวายหื้อท่านได้มาโผดผายรับไว้

ขอให้ท่านจุ่งได้ช่วยคืนขวัญของลูกข้ามา…”

 

เสียงคุ้นหูดังอยู่กังวานในหู พร้อมกับเสียงอึงอลของคนหมู่มากเซ็งแซ่รอบตัว ขณะที่รู้สึกได้ว่า หยดน้ำเย็นๆ ยังพรมลงบนหัว และบางหยดนั้นค่อยๆ กลิ้งไหลไปบนใบหน้า

นึกรำคาญจนอยากจะรีบเช็ดออกไป ฉันกะพริบตา ทว่าเหมือนเปลือกตาหนาหนักเต็มทน ขยับแขน แต่กลับยกแขนขึ้นไม่ได้ ขยับขา…หนักอึ้งไปหมดอยู่ดี

จนมีเสียงร้องว่า

“นั่น มันโมกตาแล้ว!”

จู่ๆ ฉันก็ลืมตาขึ้นโพลงจนได้ ยินเสียงร้องว้าย และคล้ายคนแตกฮือ

“พี่! ลูก!”

แม่ถลันเข้ามาหา ฉันรู้ว่านั่นคือมือแม่ จับหมับเข้าที่แขน อีกมือสอดเข้าช้อนรองคอ

“ฟื้นเถอะลูก ฟื้น! ตื่นเถอะลูก ตื่น!”

ฉันลืมตาได้แล้ว แต่สิ่งที่เห็นคือฝ้าขาวเต็มไปหมด นั่นบนเพดานหรือไม่ใช่ มีตัวอะไรลอยอยู่ในที่ว่าง กะพริบตาอีกคราว เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีเมตตา

หยดน้ำกระเซ็นมาโดนใบหน้าอีกคราว หนนี้ฉันสะดุ้งสุดตัว รวบรวมกำลังกระชากตัวออกจากพันธนาการอะไรสักอย่าง แล้วตื่นขึ้น

 

ฉันตื่นขึ้นจริงๆ ตื่นขึ้นในห้องนอนที่คุ้นเคยจนแทบจะแยกแยะทุกกลิ่นได้ นั่นคือกลิ่นที่มาจากน้ำฝนเคยลอดช่องร่องไม้กระดาน นั่นคือกลิ่นฝุ่นที่ปนมาในฤดูร้อนก่อนๆ นั่นคือกลิ่นจากกลีบดอกคะมอกที่ร่วงลงบนถนนจนเหี่ยวแห้งไปกับฤดูกาล นั่นคือกลิ่นดอกมะม่วงแห้งซึ่งโปรยปลิวข้ามรั้วมา กระทั่งหล่นตกใต้ซอกขอบหน้าต่าง นั่นยังมีกลิ่นของเสื้อผ้าพับซ้อนไว้ กลิ่นของหมวกสานใบเก่าๆ ที่แขวนกับตะปูตอกฝา…ยังมีอีก กลิ่นของดอกมะลิวัลย์ที่พันซุ้มไม้ไผ่…

พลัน ใบหน้าขาวๆ ก็ชะโงกเข้ามา

“ลุกได้หรือยังอีพี่ ขวายแล้วนะ”

พี่สาวร่วมพ่อนั่งอยู่ข้างตัว กลิ่นหอมอ่อนๆ รวยรินมา

“อีแม่ต้มน้ำใบหวานข้าวใหม่ มึงลุกมาจิบก่อน จะได้บำรุงหัวใจ”

มีน้ำสีเขียวจางๆ อยู่ในแก้วใสใบหนา เป็นแก้วที่ยังจำได้ว่า ตกทอดมาตั้งแต่บ้านยาย

นานเพียงใดที่ไม่ได้เห็นแก้วใบนี้

คัดจมูกขึ้นมาทันใด ยิ่งเมื่อเด้งตัวลุกขึ้น พบว่าถัดหลังพี่โฟไป แม่นั่งเงียบอยู่

แต่ตาของแม่เอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ หยดวับวาวนั้นกะพริบแปลบปลาบในแสงอาทิตย์ยามเช้า

 

“กินให้เต็มที่เลยลูก แม่เขาทำสุดฝีมือแล้ว!”

พ่อพูดแล้วก็ยักคิ้วให้ แม่ซัดมือเผียะทันควัน

“พี่ก็พูดไปได้ ให้ลูกกินแต่ข้าวกับเกลือก่อน จะได้ไม่แสลง”

มีควันลอยกรุ่นขึ้นเหนือถ้วยกระเบื้อง เป็นข้าวต้มเปล่าๆ มีน้ำข้าวปริ่มขอบ ช้อนสั้นเสียบรอพรั่งพร้อม ฉันค่อยๆ ยกขึ้นแตะปาก

ไม่อยากกิน แต่ก็ควรต้องกิน

หากทันทีที่เม็ดข้าวอุ่นๆ ตกถึงท้อง พร้อมกับน้ำข้าวหอมนวลไหลลงคอ พร้อมกับเห็นสายตาแม่กับพ่อจ้องอย่างใจจดจ่อ ฉันก็ตระหนักได้ในบางสิ่งบางอย่าง

ร่างกายของฉันตอบรับรสชาติอาหารของแม่ แม้จะแค่ข้าว…ต้มเปล่าๆ กับน้ำและเกลือ

เช่นเดียวกับหัวใจของฉัน มีความอุ่นวาบซาบซ่านเลื่อนไหล ดั่งดวงตะวันเล็กๆ กำลังกลิ้งชอนไชไปในเส้นเลือดใต้ผิวเนื้อหนัง

ฉันนั่งอยู่กับพ่อและแม่ในเรือนไม้หลังเก่าของเรา ฉันมีดวงตาของพ่อแม่เฝ้าจ้องมองดู

น้องก็อยู่เยื้องหลังนั่นเอง แอบมองฉันด้วยดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อน พี่โฟนั่งถัดไป มีความห่วงใยตัวฉันในทุกดวงตา

น้ำตาหยดเผาะลงบนถ้วยข้าว

“อ้าว! ไห้อีกแล้ว” พ่อว่า แต่ยังกลั้วหัวเราะในเสียง

มือใหญ่ยื่นมาตบหัว

“บ่ต้องกลัวลูก ไม่เป็นอะหยังแล้วล่ะ ได้มาอยู่บ้านเราแล้ว ไผก็ทำอะไรลูกไม่ได้ ผีตัวไหนพ่อจะไล่มันไปให้หมด!”

มีรอยบิ่นเล็กๆ ในตาพี่โฟ แต่แว่บเดียวก็หายไป พร้อมกับร่างขาวลุกขึ้น

“เจ้าไปเตรียมขันโตกก่อนนะ” พี่โฟว่า

แม่พยักหน้า “เอาขึ้นมากินด้วยกันบนนี้”

“มีจิ๊นปิ้งเหน็บฝาอยู่ เอามาให้พ่อด้วย” พ่อร้องตาม

“ไผเอาจิ๊นปิ้งไปเหน็บฝากัน อีพ่อนี่” พี่โฟตอบ

“บ่เหน็บฝา แมวก่จะมาเอาไปหวดเสียสิ” พ่อว่า

 

เรากินข้าวด้วยกันบนเรือนเกือบพร้อมหน้า ขาดแต่ลูกพ่อที่เป็นผู้ชาย…พี่ชายคนละแม่เช่นเดียวกับพี่โฟ แต่อยู่กันห้าคนเท่านี้ ก็เป็นเวลาที่ดีอยู่นักหนา

พี่โฟค่อยลำดับความให้ฟังอีกครั้งว่า ไปพบตัวฉันในสภาพอย่างไร

“มึงอู้จาบ่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เอาแต่ท่องคำกลอนเป็นค่าวเป็นเคือ” พี่โฟว่า “กูนี่ใจหายวาบ เห็นมึงนอนอยู่ข้างถนนนั่น”

“แล้วโฟทำอย่างไรรึ ถึงเอามันมาได้”

“เจ้าคิดหยังบ่ออกหรอกแม่ ใจ๋เต้นตึ้กๆ นึกกลัวว่ามันจะเป๋นบ้าเป๋นว้อไป จะปล่อยละไว้ไปฮ้องหาคนช่วย ก่กลัวมันจะตายเฮี่ยเสียก่อน หรือไม่ก็ลุกเตียวหายไปทางใดไม่รู้ เจ้าเลยตัดสินใจฮ้องเอารถแดงเหมามันมานี่แหละ”

พี่โฟเล่าอย่างมีรสชาติ

“ดีว่ามีสตางค์ติดอยู่กับตัว เสื้อผ้าอะหยังบ่ได้เอามาสักอย่าง บอกรถแดงว่าจะเอาน้องกลับบ้านด่วน เขาคิดค่ารถปอจะสามร้อย จำเป็นได้ตกลงจ่าย ถ้าบ่เอาใส่รถมา ก่บ่รู้ว่าจะเอาไปทางใด”

ฉันได้แต่ก้มหน้านิ่ง

“มึงจำหยังได้พ่องอีพี่” พี่โฟหันมาหา “แต่มึงคงจำบ่ได้ดอก กูกับคนขับพากันเอามึงขึ้นรถ มึงก่หลับหลึกแท้หลึกว่า จนปล่อยมึงนอนมูบพื้น เอาหัวหนุนตักกูไว้ ใจ๋กูก่คิดอย่างเดียวว่า ถ้าถึงบ้านแล้วถึงจะสบายใจ”

 

พี่โฟเร่งให้คนขับเหยียบมาเต็มที่ ถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว พ่อ-แม่ตระหนกตกใจลงเรือนมา จากนั้นก็พากันอุ้มหอบฉันขึ้นบ้าน แม่ร้อนใจจะวิ่งไปตามหมอแพทย์ก้าน แต่พ่อว่าจะลองใช้คาถาน้ำมนต์ก่อน

นั่นคือตอนที่ฉันรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ยังคงตกอยู่ในความฝัน

ฝันซ้อนฝันซ้อนฝัน

ในเวลายาวนานข้ามวันข้ามคืน

จนตื่นขึ้นจริงๆ ในเช้าวันใหม่

และสติสัมปชัญญะก็กลับมา…รู้สึกตัวได้ทั้งหมดแล้วว่า ฉันหลงไปในความฝัน

“พ่อคิดแล้วว่าไม่เป็นอะหยังมาก ตอนโฟพาขึ้นเรือนมา สาบกลิ่นก่รู้แล้ว”

“กลิ่นอะหยังอีพ่อ” พี่โฟตีสีหน้าหวาด “กลิ่นผีที่ตามมันมากา?”

พ่อป้องปากกระซิบข้างหูพี่โฟ พี่สาวคนละแม่เบิกตา แล้วก็ “เหิ่น” ออกมา

“พุทโธ ธัมโม! เจ้าก่ง่าวแท้ง่าวว่า ตกใจ๋กับมันจนลืมคิงลืมคิด!”

“อะไรกันรึ?” แม่มองหน้าพ่อกับพี่โฟคนละที

“อีพี่มันเมาเหล้า อี่แม่!” พี่โฟโพล่งออกมา ซัดเสียงอย่างแรง “จ๋นเจ้าตกอกตกใจ๋ นึกว่ามันเป็นบ้าไปเสียแล้ว ที่แท้มันเมาเหล้าจนนอนเฮี่ยนอนหาย!”

“โฟรู้ได้ยังไง”

“ก่อีพ่อบอกอยู่นี่”

พ่อยิ้มเจื่อนๆ

“ก่พ่อสาบกลิ่นมัน แม่คงบ่ทันได้สาบ”

 

กลายเป็นตลกร้ายในบ้าน คาดว่า คงจะเป็นที่กล่าวขานกันต่อไป ให้พี่โฟเอาไว้เล่าแก่เพื่อนฝูงฟัง เพียงยังยั้งไว้ ไม่เล่าสู่ใครนอกบ้าน แม่ว่าดีนะ ที่ยังไม่ทันไปตามแพทย์ก้าน พ่อว่า ก็นั่นแล แต่ถึงอย่างไร ยามขวัญหล่นตกอ่อนแอ ภูติผีปีศาจก็รบกวนได้

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เมื่อฉันกลับมาบ้านในสภาพเช่นนี้ อาจเป็นลางดีให้ทำการเรียกขวัญอีกสักครั้ง

โดยปราศจากคำต่อว่าซ้ำเติมใด พ่อแม่ยังพร้อมใจจะให้ฉันกินแต่อาหารอ่อนๆ ไปก่อน แล้วจะเสาะหาของมักชอบมาให้

แม่ควักสตางค์ให้พี่โฟไปตลาด ซื้อหาเสื้อผ้าข้าวของใหม่ จะอย่างไรก็เป็นการดีที่พี่โฟไปปะฉันเข้า ไม่เช่นนั้นอาจถูกใครทำมิดีมิร้ายเอาได้

…ฉันค่อยๆ จำได้เช่นกันว่า…

 

วันที่ออกจากร้านข้าวต้มมา ขณะที่ตกลงปลงใจอีกครั้งว่าฉันจะต้องจบทุกสิ่งให้ได้เสียที จึงเข้าไปที่ร้านขายยา ซื้อเอายาแก้ปวดกับเหล้า

คนเขาว่า ถ้ากินยาแก้ปวดจำนวนมาก จะทำให้ตายได้เหมือนกัน แต่เป็นโชคร้ายหรือโชคดีของฉัน ร้านขายยาแห่งนั้นไม่ยอมขายยาแก้ปวดให้เกินหนึ่งแผง แล้วยังยัดเยียดยาชุดให้ ว่าถ้าเป็นหวัดเป็นไข้ กินสักวันเดียวก็สร่าง

ฉันจึงได้แต่เอายาชุด 9 เม็ดใส่ลงไปในขวด หากที่เป็นแคปซูลก็ไม่ละลาย ได้แต่ด่าตัวเองว่าง่าวเป็นงัวเป็นควาย สุดท้ายจึงยกเหล้าขาวขึ้นจิบ

แต่เพียงจิบหนึ่งก็บาดคอเหลือทน ฉันอดทนกรอกเข้าปากอีกอึก แต่ต้องถ่มพรวดออกมา นั่นแหละ แล้วฉันก็ค่อยๆ มึนหัวพร่าพราย ใจหนึ่งฟูขึ้น ฉันอาจจะตายได้…ฉันจะได้ตายแล้ว แต่พอคิดจะเอื้อมเอาเหล้ามากรอกปากซ้ำ โลกก็มืดวับดับไป

…ฉันค่อยๆ จำได้…

…มีแต่บทกวีที่ไหลเรื่อยรินเข้ามาในหัว ในห้วงมืดมนอนธการกาลนั้น ขณะที่สำนึกสุดท้ายของฉันหวังเอาความตายเป็นที่พึ่ง ฉันกลับกลายเป็นหนอนตัวหนึ่ง…ซึ่งไม่หยุดผุดบทกวี

หนอนที่เป็นตัวฉัน มันยังเอาแต่ขี้ ขี้ ขี้ จนขี้ของมันพอกพันเป็นบทกวี หรือไม่ก็…จนบทกวีเป็นส่วนหนึ่งของคราบขี้มัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเลอะเลือนของฉัน ใต้เวิ้งแห่งความฝัน เมื่อฉันหลับใหลไปกับเหล้าสี่สิบดีกรี