ทราย เจริญปุระ | “อารมณ์” นำชีวิต

กักตัวกันมากี่วันแล้วคะ?

หรือยังต้องออกไปทำงาน ทำธุระ หาเลี้ยงชีพไม่ต่างจากชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว?

ฉันว่ายิ่งเนิ่นนานไป อารมณ์คนก็พร้อมจะปะทุ ทะลุจุดเดือดกันได้ง่ายขึ้น เราไม่มีกิจกรรมให้ไปลดพลังความก้าวร้าว ไปยิมไม่ได้ ไปวิ่งก็ไม่ได้ เราไม่ได้พูดคุยปรับทุกข์กันในวงเหล้าหรือหลังเตาหมูกระทะ

เอาเฉพาะวันที่ฉันเขียนเรื่องนี้ เราก็ต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ถ้าจะยึดเอาตามกำหนดที่ทางการออกให้ปิดสถานที่รวมกลุ่มคนไปเรื่อยๆ เพื่อรอดูสถานการณ์

เพื่อรอดูสถานการณ์ที่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ฉันว่าหลังๆ มานี้ฉันโกรธบ่อย หงุดหงิดบ่อย และปล่อยให้ตัวเองหดหู่ได้ง่ายเกินไป ทั้งที่โดยพื้นแล้ว ฉันไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีอะไรนัก เรื่องร้ายๆ ที่เกิดกับผู้คนและบนโลกไม่ได้ทำให้แตกตื่นประหลาดใจไปมากกว่าหดหู่ และรับสภาพไปอย่างนั้น

กระนั้นก็ยังหงุดหงิด

สิ่งแรกๆ ที่ฉันรีบสำรวจตัวเองว่ามีพอหรือเปล่า และถ้าจะมีสิทธิ์หาไม่ได้ หรือขาดตลาด หรือเกิดจะเข้าไม่ถึง ฉันสารภาพตรงนี้เลยว่าจะขอกักตุนเป็นแน่ ก็คือยาจิตเวชที่ฉันต้องกินประจำ

บางคน -ไม่สิ- หลายคนเลยที่มักจะเข้าใจไปว่า การป่วยเป็นซึมเศร้าเป็นเรื่องของคนอ่อนแอ ขี้แพ้ ไม่อดทน เจออะไรนิดหน่อยก็ซึมก็เศร้า

แต่ฉันกลับถูกใจคำอธิบายที่ฉีกไปอีกทางมากกว่า ว่าคนป่วยนั้นคือทนมานานเกินไป มากเกินไป ด้วยความสาหัสเกินไป เราไวต่อความรู้สึกกับผู้คนมากเกินไป ไม่ใช่เราไม่รู้ว่าโลกมันเป็นเช่นนี้ เรารู้และเราก็พยายามอดทน เนิ่นนานจนสมองส่วนที่สั่งให้อดทนนั้น หลั่งเคมีแห่งความอดทน อดทน อดทน กัดฟัน กัดฟัน กัดฟัน ซ้ำซากวนเวียนเช่นนี้จนมันสั่งงานอย่างอื่นไม่ได้

ด้วยว่าค่ามาตรฐานถูกขยับไปอยู่ตรงความเครียดเสียแล้ว

ฉันยอมรับแต่โดยดี ว่าเป็นมนุษย์สายอารมณ์ มันก็ไม่แย่อะไร เราเอาอารมณ์นำชีวิตสักนิดก็ได้ งานฉันก็ทำแบบนี้ ตัวละครมีเหตุผลมากมายร้อยแปดเบื้องหลังฉากที่คุณกำลังชม หรือฉันกำลังถ่ายทำ แต่วิธีแสดงออกก็คืออารมณ์ เพื่อให้คุณได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้วงขณะนั้น และอารมณ์เช่นนั้นจะพาเรื่องไปทางไหน

แต่ที่น่าหงุดหงิดสำหรับฉันคือคนที่พยายามนำเสนอว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุผล

ประเภทที่ขึ้นประโยคแนวๆ ว่า “เราไม่ได้อะไรนะ แต่…”

2 ใน 3 ที่เจอมาฉันมักจะพบว่าหลังจาก-แต่-นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรที่ต้องฟัง

เพราะเอาเข้าจริงมันออกจะเลื่อนลอยกว่าเรื่องที่กำลังคุยๆ กันอยู่ก่อนจะมาถึงของคำว่าแต่ด้วยซ้ำ

หลายคนระมัดระวังมากที่จะเป็นกลางในทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ทั้งการบ้าน การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อมอะไรใดๆ

เป็นกลางเสียจนดูตื้นเขิน และตัวเขาก็คิดเพียงว่าฉันพูดครบทั้งสองฝั่งเหตุผลแล้ว

จบ

ซึ่งมันแสนจะน่ารำคาญในความเห็นฉัน

สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่งเสียเลย ยังดูมีเกียรติกว่า ว่าอย่างน้อยเขาก็เชื่อในสิ่งที่เขาพูดอย่างจริงใจ ฉันไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเขา และเขาไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับฉัน

ฉันไม่ได้พยายามเปลี่ยนเขา และจะดีมากๆ ถ้าเขาก็ไม่ต้องพยายามมาเปลี่ยนฉัน

แต่คนกลางๆ คนที่เห็นตัวเองเป็นมนุษย์เหตุผลผู้วาววับกระจ่างแจ้ง จะไม่มองอารมณ์ของมนุษย์ว่าเป็นอารมณ์ แต่จะมองว่าเป็นหมอกควันแห่งความโง่และไม่รู้ ความเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์นั้นขัดขวางหนทางไปสู่ความกระจ่างแจ้งหรืออะไรก็ตาม

ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้พ้นไปจากนี้

“เราไม่ได้ชอบคนนี้นะ แต่…”

“เราเข้าใจคนคิดแบบนี้นะ แต่…”

“เราไม่ได้เข้าข้างใครนะ แต่…”

เริ่มมาอย่างนี้ส่วนใหญ่ฉันก็เลิกฟัง ปล่อยใจปล่อยหูล่องลอยไป แล้วเขาจะว่าฉันเป็นอีโง่อีบ้าอะไรก็เอาเถอะ

ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์เราควรนำอารมณ์นำทุกการกระทำ

แต่เราถูกกระทำ เรากระทำ เราได้รับผลของการกระทำ เราบ่นได้ เราด่าได้ ทำไมเราจะต้องไม่ด่า ต้องยอมรับในสิ่งที่เราไม่ชอบด้วย เพียงเพื่อจะได้มองดูสุขุม ไม่ได้บอกให้ทุกคนพร้อมใจกันเดินไปต่อยหน้าคนที่ไม่ชอบ แต่ฉันไม่ปฏิเสธปฏิกิริยาแบบนั้น ดังนั้น หากฉันเริ่มหงุดหงิดฉันก็จะเดินหนีไปจากตรงนั้นเสียให้ไกล ไม่จำเป็นต้องมานั่งทดสอบสติหรืออุเบกขาของตัวเองแต่อย่างใด

ยิ่งพอมาในช่วงที่โลกเกิดโกลาหลพร้อมๆ กันขึ้นมาแบบนี้ ต่างคนก็มีวิธีรับมือ และแน่นอน หลายคนก็หงุดหงิดเอากับกติกาบางอย่างจากภาครัฐที่สักแต่ว่าออกโดยไม่ได้ดูความเป็นจริง ความเป็นไปได้ หรือสถานะจริงของผู้คนหลากหลายในสังคม

แล้วก็จะมีมนุษย์เปี่ยมเหตุผลเหล่านี้มาบอกว่า “ก็รู้นะว่ามันยาก แต่…”

เฮ้อ

เราไม่ได้เป็นคนดีเท่าที่เราคิด

ฉันนี่ยิ่งเป็นคนไม่ได้เรื่อง

ไม่ได้เรื่องได้ราว พอๆ กับไม่ได้ใช้เหตุผลมากที่เท่าเราคิดไปเองว่าเราใช้

ข้อยกเว้นนั้นงอกขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าต้องใช้กับคนที่เราไม่ชอบ พอๆ กับคะแนนพิเศษบางอย่างที่ยินดีจะบวกเพิ่มให้เพียงเพราะเป็นคนที่ถูกใจถูกชะตา

มาตรวัดของมนุษย์นั้นแสนไม่แน่นอน

แต่ไวรัสนั้นเที่ยงตรง

มันไม่จำเป็นต้องรับรู้ว่าคนนี้คือหัวหน้าครอบครัวที่เลี้ยงปากท้องอีกหกปากที่รออยู่ที่บ้าน ไม่ได้สนใจว่าร่างที่มันหยุดเป็นนักบวชบำเพ็ญตบะที่ไม่อาจข้ามพ้นเงื่อนไขสังขาร ไม่เคยเหนื่อยเกินไปที่จะติดต่อจากคนไข้ไปยังหมอที่ยังต้องรักษาคนอีกมากมาย

เชื้อโรคไม่มีพระเจ้า มันไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอำนาจเหนือใดๆ ไม่มีอคติ ไม่มีอภิสิทธิ์ ฟุ้งกระจายจับติดไปได้ถ้วนทั่วทุกตัวคน

ไม่มีหรอกที่มันจะไปติดใครแล้วบอกว่า “ขอโทษนะ เรารู้ว่าเธอไม่มีเงินรักษาตัว แต่เราจำเป็นต้องติดเธอล่ะ”

ไม่มี

แค่คิดว่าไวรัสจะพูดได้ก็โง่เต็มทีแล้วฉันนี่

ก็นี่ล่ะ, ชีวิตวันๆ ของฉันในช่วงนี้

อ่านข่าว ตามข่าว เพื่อจะโกรธ จะหดหู่ จะด่า จะลุกขึ้นมาผัดข้าวเลี้ยงใครต่อใคร จะบริจาค จะช่วยกระจายข่าวสาร

แล้วก็จะด่า

จะด่ามันไปอย่างนี้ล่ะ

ก็ฉันมันก้อนอารมณ์เดินได้ ใครจะทำไม

“มนุษย์อารมณ์” เขียนโดยณัฐวัฒิ เผ่าทวี ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1, มีนาคม 2563 โดย Salmonbooks