อภินิหาร KO-TEE

นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำเสื้อแดง จ.ปทุมธานี

“ผู้ต้องหา” ครอบครองยุทธภัณฑ์อาวุธสงคราม ครอบครองยาเสพติด อั้งยี่ ซ่องโจร ฯลฯ

กลายเป็น “อภินิหาร” ของฝ่ายรัฐ

ที่สามารถนำพฤติกรรมของโกตี๋ไปอรรถาธิบายคดีความต่างๆ ได้ทุกคดี

เข้าทำนอง ยิงด้วยกระสุนยี่ห้อ “โกตี๋” นัดเดียว ได้นกหลายตัว อย่างน่าทึ่ง

ถือเป็น “ปฏิบัติการ” ที่ได้ผลคุ้มค่าอย่างยิ่ง

“อภินิหาร” นี้เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พร้อมหัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. นำกำลังทหารและตำรวจเข้าออกปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย 9 จุด

โดยไฮไลท์อยู่ที่ เป้าหมายที่ 1 คือการค้นบ้านพัก และจับกุม นายธีรชัย อุตรวิเชียร (ระพิน) เลขที่ 1/16 หมู่ 6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี แนวร่วมกลุ่มโกตี๋ พบสิ่งของผิดกฎหมาย 29 รายการ อาทิ ปืนเอ็ม 16 จำนวน 4 กระบอก เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอก ปืนคาร์บิน 1 กระบอก ปืนลูกซองยาว 1 กระบอก กระสุนปืนขนาดต่างๆ จำนวนมาก ลูกระเบิดขว้าง 10 ลูก เสื้อเกราะกันกระสุน 1 ตัว และยาบ้าจำนวนหนึ่ง

นายธีรชัยให้การว่าอาวุธทั้งหมดเป็นของโกตี๋ที่ได้นำมาฝากไว้

และจากนั้นนำมาสู่การอธิบายขยายผลโดยพิสดาร

เริ่มจาก พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนและเก็บข้อมูลมาระยะหนึ่ง และขณะเข้าปฏิบัติการก็มีสื่อมวลชนร่วมเป็นพยานจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่ครอบครองอาวุธเหล่านี้ได้เก็บทุกอย่างไว้ในกล่องที่ปิดผนึกและซุกซ่อนไว้ในที่ลับเฉพาะ ทำให้ของกลางทั้งหมดดูใหม่ จึงไม่ใช่การจัดฉากแต่อย่างใด

สอดคล้องกับ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. ชี้แจงว่า การตรวจค้นจนพบในครั้งนี้อาศัยกระบวนการสืบสวนที่เป็นระบบ ควบคู่กับงานด้านการข่าวที่มีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

ขณะที่ พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 ลงในรายละเอียดว่า ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2559 มีบุคคลที่เป็นเครือข่ายของนายโกตี๋ได้วางเเผนสะสมอาวุธสงครามและวัตถุระเบิด เพื่อเตรียมก่อเหตุความไม่สงบขึ้นหากเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมค้นยึดพื้นที่วัดพระธรรมกาย เเละยังมีแนวคิดลอบสังหารผู้นำประเทศในรัฐบาล คสช.

“จากการซักถามผู้ต้องหาบางส่วนยอมรับสารภาพว่าได้เข้าร่วมกับกลุ่มเรดการ์ดเรดิโอ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดเห็นทางการเมืองรุนแรงมีการปลุกปั่นให้มวลชนลุกขึ้นใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่หากใช้มาตรา 44 เข้าบุกค้นวัดพระธรรมกาย ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ได้พบว่ามีบุคคลที่ฝักใฝ่การเมืองปรากฏตัวบริเวณที่มีการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย จึงนำไปสู่การติดตามตัว และพบว่า กลุ่มดังกล่าวจัดรายการวิทยุใช้นามว่าสหายหมาน้อย ไฟเย็นแชลน่อน มีการกล่าวผ่านรายการ ทำนองว่าจะมีการลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จึงนำกำลังเข้าตรวจค้นและได้พบอาวุธสงครามและปืนสไนเปอร์ที่ใช้ในการลอบสังหาร อีกทั้งการจัดรายการยังเป็นลักษณะหมิ่นสถาบันและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสหพันธรัฐ” พล.ต.ต.สมบัติระบุ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากอาวุธที่จับได้เป็นที่ชัดเจนว่ามีทั้งกล้องสไนเปอร์อุปกรณ์ประกอบปืนไว้เก็บเสียงเพื่อลอบสังหารผู้นำประเทศ และอาวุธที่หายไปในปี 2553 ก็มีศักยภาพสามารถทำได้ทั้งนั้น ขณะนี้รัฐบาลต้องการปรองดอง กลุ่มนี้อาศัยจังหวะที่เข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายเป็นมือที่สาม

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมบอกว่า

“การข่าวของผมได้ติดตามพฤติกรรมกลุ่มนี้ รวมทั้งประชาชนที่ไม่ต้องการเกิดความรุนแรงได้แจ้งข่าวมาทำให้การข่าวตรงกัน จนเป็นที่มาของการตรวจค้นแล้วจับกุม ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเดินเข้าไปจับเลย ผมตามข่าวนี้มานานตามมาตลอด ไม่ต้องกลัวในเรื่องความมั่นคง เราตามทุกเรื่อง จำไว้ ส่วนโกตี๋ออกข่าวว่ามีการจัดฉาก ก็โกตี๋จัดฉากไง ว่ากันไป ตอนนี้เอาตัวให้รอดเถอะ”

จะเห็นว่า ข้อมูล เบาะแส การข่าว สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ “มัด” โกตี๋แน่น

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการประสานเสียงจากระดับนำของรัฐบาล ว่าการจับกุมครั้งนี้มาจาก “ข่าว” ที่ได้รับ แต่กระนั้น เริ่มมีการตั้งคำถามว่าเป็นการ “จัดฉาก” หรือไม่

เพราะอาวุธที่จับได้เป็นอาวุธใหม่

ขณะเดียวกันยังสามารถต่อจิ๊กซอว์เรื่องต่างๆ ได้อย่างลงตัว “มากเกินไป”

ทั้งเรื่อง วัดพระธรรมกาย

ทั้งเรื่อง การลอบสังหารผู้นำรัฐบาล

ทั้งเรื่องที่เกี่ยวโยงไปถึงฝ่ายการเมืองตรงข้ามรัฐบาล ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง ที่บ่งชี้ว่ายังมีกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่พร้อมจะใช้ความรุนแรงในทางการเมือง

และพอดีไปสอดคล้องกับปฏิบัติการตามล้างตามเช็ดเรื่องการเสียภาษีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอดีตนักการเมืองไม่ต่ำกว่า 60 คน

จนทำให้มองว่า การได้โกตี๋มาเป็นตัวละครสำคัญในครั้งนี้ “คุ้มค่ามาก”

แต่เป็นการคุ้มค่ามาก โดยวิธีผิดธรรมชาติ หรือพูดง่ายๆ “จัดฉากหรือไม่”

ด้วยยังมีคำถามต่างๆ มากมาย เช่นว่า ศักยภาพของนายโกตี๋ที่หนีไปอยู่ลาว จะมีศักยภาพเพียงพอที่จะวางแผนและลงมือเรื่องที่ใหญ่ระดับนี้ได้

และยิ่งเมื่อโกตี๋ตัวเป็นๆ ออกมาตอบโต้ผ่านช่องทางยูทูบว่า

“วันนี้เห็นลูกน้องที่โดนจับแล้วสงสาร เพราะไม่มีปัญญาไปช่วย เขาเป็นคนดีมาก วันนี้โดนยัดข้อหาขนาดนี้ นี่คือความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตลอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเมืองไทย ไม่รู้ว่าโดนจับเข้าไปจะโดนทำร้ายมากขนาดไหนในการที่จะให้เขาใส่ร้ายป้ายสีมาให้ตนให้ได้ ถ้าเป็นไปได้พี่น้องช่วยตามข่าวแทนด้วย

ทั้งนี้ กองทัพไม่ต้องซื้ออาวุธหรอก ไปบุกบ้านไหนก็ของโกตี๋ เจออาวุธที่ไหนก็ของโกตี๋ โยงเข้าหาแม้กระทั่งวัดพระธรรมกาย บ้ากันไปใหญ่แล้ว อาวุธที่ค้นเจอนั้นยืนยันว่าไม่ใช่ของผมแน่นอน มีการจัดฉาก ต้องการเล่นงานเครือข่ายของผมทั้งหมด ห่วงอย่างเดียวคือห่วงความปลอดภัยของหัวหน้าการ์ดผม

เพราะวันนี้เขาได้เสียสละแทนทั้งที่เขาไม่รู้เรื่อง ชีวิตผมไม่เคยมีบ้านเป็นหลัง นอนสถานีมาตลอด และออกจากเมืองไทยมา 3 ปีแล้ว อาวุธถ้ามีมากขนาดนั้นถล่มพวกเขาไปนานแล้ว ไม่เอาไว้หรอก นอกจากนี้ จะสะสมอาวุธไว้ทำไมในเมืองไทย ที่ใจกลางเมืองขนาดนั้น จัดฉากไม่เนียน ในการพยายามที่จะให้ตนเป็นคนก่อการร้าย”

นี่กระมังที่ทำให้คำถามเรื่อง “จัดฉาก” ดังกระหึ่ม

เพราะเหตุนี้เอง ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้นำคลิปวิดีโอความยาว 6 นาที เนื้อหาเป็นการตรวจค้นบ้านพักนายธีรชัยที่พบอาวุธสงครามจำนวนมากมาแสดง เพื่อยืนยันว่าการพบอาวุธดังกล่าวเป็นผลจาก “สืบหา” ของเจ้าหน้าที่ มิใช่การจัดฉาก

แถมนายธีรชัยยังแจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่ตรวจค้นว่าเป็นอาวุธที่นายโกตี๋ฝากไว้

คลิปดังกล่าวสร้างความพอใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์มาก พร้อมกับกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่าการจับกุมเป็นเรื่องที่ดี มีการทำงานแบบบูรณาการ ทั้งตำรวจ ทหาร สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเบาะแสจากประชาชน จึงขอให้ทำต่อไป ไม่ให้หยุดแค่นี้ แต่ไม่อยากให้สื่อนำภาพอาวุธไปเผยแพร่ เพราะเวลามีข่าวไปยังต่างประเทศจะเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในประเทศไทย

น่าสังเกตว่าหลังจากนั้น คลิปภาพดังกล่าวถูกนำออกเผยแพร่ผ่านยูทูบด้วย

ถือเป็นการกลบกระแส “การจัดฉาก”

แต่ดูเหมือนฝ่ายพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง นปช. จะไม่เห็นพ้องนัก

และชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า กรณีนี้เป็นการตามล้างตามเช็ด แบบไม่ยอมให้จบมากกว่า

โดยตั้งข้อสังเกตว่า ตอนนี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังเผชิญข้อวิจารณ์ว่าแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีวัดพระธรรมกาย การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและถูกเอาคืนในประเด็นการคอร์รัปชั่น

จึงต้องหา “ประเด็น” หรือ “เงื่อนไข” ใหม่ มาชะลอภาวะ “ขาลง”

โดยใช้ปฏิบัติการทางข่าว สร้าง “ตัวละคร” ขึ้นมาเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามลงไปพร้อมๆ กัน

นี่จึงทำให้กรณีโกตี๋โผล่ขึ้นมา

โผล่ขึ้นมาเพื่อเป็น “อภินิหาร” ช่วยรัฐบาล

ดังเช่นเดียวกับกรณีที่มีการตีปี๊บเรื่อง “ขอนแก่นโมเดล” ที่มีการสร้างภาพใหญ่โตของการจะจับอาวุธขึ้นสู้ฝ่ายรัฐ

แต่เอาเข้าจริงกระแสก็จางหายไป โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กรณีโกตี๋อาจจะซ้ำรอยก็ได้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็คงไม่ยอมง่ายๆ ยังยืนกรานถึงการข่าวและเน้นย้ำพยานหลักฐานที่ยึดได้ ว่านี่คือสิ่งผูกมัดฝ่ายตรงข้าม ที่ยังนิยมความรุนแรง

ต่างฝ่ายต่างชี้นิ้วใส่กัน แบบไม่ยอมกัน

ซึ่งก็คงแล้วแต่คนไทยว่าจะเชื่อและให้น้ำหนักแก่ฝ่ายใดมากกว่ากัน