อนุสรณ์ ติปยานนท์ : เรื่องเล่าจากเหมืองเกลือบทที่สอง

กรอบสี่เหลี่ยมเล็กในใบประกาศแนะนำสถานที่แห่งนั้น

“เหมืองเกลือวีลิชก้า เหมืองเกลือเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบสาม ชั้นแรกของเหมืองลงลึกจากระดับพื้นดิน 64 เมตร ใช้บันไดกว่า 380 ขั้น เที่ยวชมมุมต่างๆ ของเหมือง ระยะเวลาทั้งหมดสองชั่วโมงครึ่งก่อนโดยสารลิฟต์กลับขึ้นข้างบน อุณหภูมิของเหมืองอยู่ที่ 14-16 องศา ควรเตรียมเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นมาด้วย”

เป็นเรื่องของความผิดพลาด เขาควรรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าโปรแกรมทัวร์นั้นยาวตลอดวัน ดังนั้น จึงไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเพียงที่เดียว เขามัวแต่ขบคิดถึงค่ายกักกัน ความเจ็บปวด ผลของสงคราม เขามัวแต่ใส่ใจกับรายละเอียดของสถานที่แรกจนหลงลืมสถานที่ต่อมา

เสื้อผ้าที่เขาใส่ในยามนี้เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแขนยาวเพียงตัวเดียว อาจปลดแขนเสื้อลงได้ แต่เขาเชื่อว่ามันไม่น่าจะเพียงพอต่อความอบอุ่น

เขาขบคิดถึงทางแก้ ไปถึงที่แห่งนั้น แต่ไม่ลงไปเบื้องล่าง แต่ถ้ากระทำเช่นนั้น เขาจะไปยังที่แห่งนั้นเพื่อการใด มิเช่นนั้น เขาต้องมองหาอุปกรณ์ให้ความอบอุ่นอื่นเพิ่มเติม

แต่ก็นั่นเองหากรถนำเที่ยวไม่จอดพักตรงร้านค้า เขาก็เชื่อว่าเสื้อกันลมสักตัวหรือแม้แต่ผ้าพันคอสักผืนก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายดายนัก

 

สาวน้อยคนนั้นสังเกตเห็นถึงความกังวลของเขา เธอจุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกหนึ่งตัว ควันบุหรี่ลอยขึ้นบนอากาศ “คุณไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาสำหรับการเที่ยวเหมืองเกลือ?”

เขาพยักหน้ารับ “ผมคิดถึงแต่การเข้าชมค่ายกักกันที่นี่ ความเลินเล่อที่ไม่น่าให้อภัย”

“ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากที่จัดการไม่ได้ จำได้ใช่ไหมว่าเราจะแวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งระหว่างทาง ที่นั่นมีเสื้อยืดที่ระลึกให้คุณได้แก้ไขไปชั่วคราว และหากมันไม่เพียงพอ ฉันมีผ้าพันคอผืนขนาดกลางอีกผืนในกระเป๋า คุณใช้มันได้”

“คุณบอกว่าคุณไม่เคยมาที่ค่ายกักกันเอาช์วิตซ์ แต่คุณดูรู้จักร้านอาหารที่ว่านั้นเป็นอย่างดี?”

“ฉันมากับทัวร์นี้บ่อยครั้ง หรือว่าไปแล้วทุกครั้งที่ฉันมาโปแลนด์”

“แต่คุณไม่เคยไปที่ค่ายกักกัน ไม่เข้าชม”

“อย่างที่บอก สำหรับฉัน สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ตายแล้ว มันมีแต่ความเศร้าในนั้น คุณเข้าไปชม ไปรับรู้ความเศร้าของมัน หลังจากนั้น คุณถอนหายใจ พูดกับตนเองว่าโลกนี่ย่ำแย่เพียงใดแล้วกลับไปใช้ชีวิตปกติ ฉันรู้สึกว่านี่คือที่สุดแห่งการท่องเที่ยว เราเข้าไปชมมันแต่ไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของมัน มีสักคนไหมที่เข้าชมในสถานที่แห่งนี้ กลับออกมาและสาบานตนว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อต่อต้านสงคราม ไม่มีเลย เราเป็นผู้ชมอยู่เสมอในโลกปัจจุบัน ภาพยนตร์ ข่าวสาร เรื่องราวน้อยใหญ่ที่ผ่านตาเราบนโทรศัพท์มือถือ แต่เราไม่ยอมปล่อยให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของมัน เราทำสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป มากเกินพอผ่านทางสายตา ดังนั้น ถ้าเป็นการท่องเที่ยวเราควรเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไม่ใช่เป็นแต่ผู้ชมเพียงอย่างเดียว”

“การที่คุณไปชมเหมืองวีลิชก้าครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของมัน?”

“มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฉัน แต่มันคือชีวิตฉัน” สาวน้อยทิ้งบุหรี่ลงกับพื้น ใช้ฝ่าเท้าที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าผ้าใบเหยียบก้นบุหรี่จนดับสนิท เธอขยับตัวจะพูดบางสิ่ง แต่มีเสียงกลับมาของลูกทัวร์กลุ่มใหญ่ ไกด์นำทางตะโกนให้ทุกคนขึ้นสู่รถ “ฉันจะเอาผ้าพันคอให้คุณตอนที่เราอยู่ในรถ”

สาวน้อยคนนั้นพูดก่อนเดินนำหน้าเขาขึ้นไปในรถบัสที่ใช้เดินทาง

 

ผ้าพันคอของเธอสีเทา สีเดียวกับท้องฟ้าเบื้องนอก เขากล่าวขอบคุณเธอ ผูกมันไว้รอบคออย่างหลวมๆ สาวน้อยผู้นั้นยิ้มรับก่อนที่เธอจะนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง ไกด์ประจำคณะเริ่มต้นการบรรยายของเขาอีกครั้ง

“เหมืองเกลือวีลิชก้าเป็นมรดกโลกชิ้นสำคัญของโปแลนด์ เชื่อกันว่ามันถูกค้นพบในศตวรรษที่สิบสาม แรกเริ่มการทำเกลือทำกันที่หน้าดินข้างบนซึ่งมีความเค็มจัด แต่หลังจากเกลือหน้าดินถูกขุดไปทำเกลือจนหมด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ข้างบนก็คิดถึงการเจาะพื้นดินข้างหลังเพื่อทำเหมืองเกลือ หลังการเจาะและลงสู่ด้านล่างได้สำเร็จ พวกเขาพบกับแหล่งเกลือที่อุดมสมบูรณ์มาก เกลือจากเหมืองแห่งนี้ถูกผลิตกันมาเป็นเวลากว่าหกร้อยปีก่อนที่จะยุติลงในศตวรรษก่อน”

เขาหยิบสมุดบันทึกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ลงมือบันทึกเรื่องราวจากปากคำของไกด์นำทาง มีรายละเอียดอีกมากที่เขาสนใจ แต่เขาคิดว่ามันสามารถหาเพิ่มเติมได้จากในสถานที่ ถ้าเขาทนอากาศหนาวเย็นเบื้องล่างได้

เวลาหกร้อยปีไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ เขาคิดถึงปริมาณเกลือที่ถูกนำออกจากเหมืองแห่งนี้ มันน่าจะมากมายจนชวนให้ตื่นตะลึง แต่หากคิดถึงผู้คนในดินแดนแถบนี้ที่อาศัยอยู่ได้ด้วยเกลือจากที่นี่ ผู้คนจำนวนมาก ประชากรจำนวนมากในดินแดนยุโรป แม้ว่าจะถูกทำให้ลดลงในช่วงสงคราม และเขาเชื่อหลายคนที่เคยบริโภคเกลือจากที่นี่ได้ถูกนำตัวไปยังค่ายกักกันที่อยู่ไม่ไกลออกไป

“ไม่ได้” เขาพูดกับตนเอง “การผสมปนเปเรื่องราวสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกันคือความสับสน ในฉับพลันนั้น เขาคิดถึงการผสมปนเปเรื่องราวของชีวิตคู่ที่ล่มสลายของเขาเข้ากับความล้มเหลวของตนเอง สองเรื่องนี้อีกเช่นกันดูเป็นเรื่องราวที่อยู่ใกล้เคียงกัน ไม่ห่างกัน ไม่ต่างจากค่ายกักกันเอาช์วิตซ์และเหมืองเกลือวีลิชก้า แต่ต่างกัน ชีวิตคู่ที่ล่มสลายมีที่มาที่ไปแบบหนึ่ง ความล้มเหลวของตนเองก็มีที่มาที่ไปอีกแบบ เขาไม่อาจผูกมันเข้าด้วยกันแบบผสมปนเป

ชีวิตคู่อาจล่มสลายแต่เขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนล้มเหลว

 

รถบัสโดยสารจอดที่ร้านอาหารข้างทาง ทิวทัศน์รอบๆ ชวนให้เพลินตา เพลินใจ มีทิวเขาที่มองเห็นได้จากระยะสายตา เขาลงจากรถโดยสารเป็นคนสุดท้าย เดินตามหลังสาวน้อยผู้นั้นไป เขาแลเห็นร้านขายของที่ระลึกตรงทางเข้า เขาตรงเข้าไปข้างใน ซื้อเสื้อยืดสีขาวตัวหนึ่ง เขาคิดว่าลึกลงไปใต้ดิน ความมืดน่าจะมี การใส่เสื้อผ้าสีขาวน่าจะช่วยนำความสว่างไสวให้กับผู้คนได้บ้าง

ช่างเป็นความคิดที่น่าขันที่เขาคิดถึงผู้อื่นขนาดนั้น คิดถึงอย่างละเอียดลออในขณะที่ก่อนหน้านี้ไม่นานนักเขาเลินเล่อถึงกับลืมคิดถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับตนเอง

หลังออกจากร้าน เขาตรงเข้าไปในส่วนของโต๊ะอาหาร ลูกทัวร์คนอื่นๆ นั่งประจำที่ของพวกเขาเรียบร้อย บางคนกำลังตักซุปแตงกว่าขึ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย บางคนกำลังจิ้มไส้กรอกเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน

อาหารที่จัดไว้เป็นอาหารพื้นถิ่นของโปแลนด์ ซุปแตงกวา ชีสรมควัน ไส้กรอกรวม ในอาหารเหล่านี้เขาชอบซุปข้าวไรย์ที่ใส่ไข่และไส้กรอกมากที่สุด

เขาตักซุปที่ว่านั้นหนึ่งถ้วยจากโต๊ะกลางที่จัดอาหารไว้สำหรับลูกทัวร์ ก่อนจะมองหาที่นั่งที่ว่าง มีที่นั่งว่างอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง โต๊ะตัวนั้นมีสาวน้อยผู้นั้นนั่งอยู่เพียงผู้เดียว

เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ว่าง ประจันหน้ากับสาวน้อยผู้นั้น เขากล่าวขอบคุณเธออีกครั้งที่แนะนำให้เขาซื้อเสื้อยืดที่นี่ เธอยิ้มรับ เขาแลเห็นว่านอกจากถ้วยกาแฟที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเธอแล้ว เธอไม่มีจานอาหารใดเลย

“คุณไม่ทานอาหาร?”

“ไม่”

“ซุป หรือขนมปังไหม ผมไปจัดการให้ได้”

“ไม่เป็นไร” เธอตอบอย่างออมถ้อยคำ มือขวาของเธอดับบุหรี่ในมือก่อนที่จะดึงบุหรี่จากซองอีกตัวหนึ่งแล้วจุดมันขึ้นสูบ

“คุณทานอาหารน้อยอย่างนี้เสมอหรือ?”

“ไม่ ฉันทานอาหารตามปกติ เว้นแต่ในวันที่ฉันต้องทำพิธีกรรมทางศาสนา ฉันอดอาหารเพื่อให้ร่างกายว่างเปล่า เพื่อที่จะรับสิ่งใหม่เข้าในร่างกายอย่างเต็มที่”

“คุณกำลังจะทำพิธีกรรมทางศาสนา?”

“ใช่ คุณไม่รู้สินะ แน่นอนคุณคงไม่รู้ ลึกลงไปในเหมืองเกลือนั้นมีโบสถ์อยู่แห่งหนึ่ง เป็นโบสถ์ของนักบุญผู้หญิงนามว่านักบุญคิงกา แหวนของเธอถูกพบที่นั่น”