วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / พายุ อารมณ์ ที่ต้องแบกรับ (39)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

พายุ อารมณ์ ที่ต้องแบกรับ (39)

 

การพบกันระหว่างเซียวจิ่งเหยียนกับเหมยฉางซูภายหลัง 1 สถานการณ์ประลอง และ 1 สถานการณ์การวางแผนของเยว่กุ้ยเฟยเพื่อดึงหนีหวงจวิ้นจู่เข้ามาอยู่ในสังกัดของรัชทายาท ทรงความหมายเป็นอย่างสูงในทางความคิด

“แม้ระหว่างกลางตื่นตระหนกไปบ้าง แต่สุดท้ายสถานการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี องค์ชายไฉนยังมีโทสะ” เป็นความสงสัยจากเหมยฉางซู

“หรือว่าจวิ้นจู่เป็นเพราะอับอาย”

“ท่านยังคำนึงถึงความรู้สึกของจวิ้นจู่อยู่อีกหรือ” เป็นการพูดพร้อมกับแค่นหัวเราะ “ตักเตือนนางให้ระวังภัยก็แค่บุญคุณเล็กน้อย แต่เสียดายที่ไม่อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มความผิดให้แก่แม่ลูกสกุลเยว่ ท่านคงไม่พอใจ แต่ผลลัพธ์ก็หมดจดงดงามดี

“ข้าเสี่ยงตายเข้าไปช่วย สภาพการณ์ดุเดือดรุนแรง จวิ้นจู่ตื้นตันไม่รู้จบ ภายหน้าหากเกิดการปะทะแย่งซิง จวนมู่แห่งอวิ๋นหนานย่อมสนับสนุนข้าเต็มที่ นี่คงเป็นเป้าหมายที่ท่านต้องการกระมัง”

เหมยฉางซูนิ่งอึ้ง กลอกตาช้าๆ เนิ่นนานค่อยกล่าว

“หรือองค์ชายเข้าใจว่ากระหม่อมเจตนาปิดบังจวิ้นจู่ ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปทีละก้าวเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด เช่นนั้นหรือ”

“หรือไม่ใช่” เป็นคำถามจากจิ้งหวัง

 

ท่านรู้แก่ใจว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นที่ตำหนักเจาเหริน ท่านมีโอกาสตักเตือนจวิ้นจู่ล่วงหน้าชัดๆ แต่ทำไมไม่พูด

มีเวลาบอกให้ระมัดระวังหวงโฮ่ว หรือไม่มีเวลาพูด “เยว่กุ้ยเฟย” 3 คำนี้

ท่านฟังไว้ ซูเจ๋อ ข้ารู้จักจอมวางแผนเช่นพวกท่านดี ไม่เพียงกระทำเรื่องสุ่มเสี่ยงที่สุด ไร้ยางอายที่สุด

ข้ายังรู้ว่าลูกธนูเย็นเฉียบที่ชนชั้นเช่นพวกท่านยิงออกมา แม้แต่คนที่เข้มแข็งที่สุดยังไม่อาจต้านรับ

แต่ข้าขอเตือนท่านว่า ในเมื่อยึดถือข้าเป็น “นาย” ของท่านก็ต้องตระหนักในขีดความอดทนของข้าไว้ด้วย

หนีหวงจวิ้นจู่ไม่ใช่คนที่ลุ่มหลงในลาภยศอำนาจ นางคือผู้บัญชาการกองกำลัง 10 หมื่นชายแดนใต้ เป็นนางที่แบกรับหน้าที่พิทักษ์ชาติและราษฎร เป็นนางที่เสียสละเลือดเนื้อเข่นฆ่าศัตรูกลางสนามรบ ปกป้องคนเมืองหลวงซึ่งกินอยู่หรูหรา วันๆ เอาแต่ปัดแข้งปัดขากัน

บุคคลที่จิตใจเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นท่าน ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า อะไรคือความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญของชายชาติทหาร อะไรคือควันไฟแห่งสงคราม

ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเห็นคนเหล่านี้เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง

หากไม่รู้จักเคารพศักดิ์ศรีของนักรบผู้เสียสละเหล่านี้ ข้าเซียวจิ่งเหยียนก็ไม่ขอเป็นพวกเดียวกับท่าน

ฟังชัดเจนหรือไม่

 

นับแต่แรกที่เห็นท่าทีกัดไม่ปล่อยของอีกฝ่าย สีหน้าเหมยฉางซูเหม่อลอยเล็กน้อย คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจิ้งหวังจะเข้าใจผิดไปไกล

เห็นได้ว่าจิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง

ไม่มีใครสามารถรู้ทันความคิดของใครได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ต่อให้เป็นพ่อ ลูกที่สนิทชิดใกล้ก็อาจถูกกัดกร่อนความสัมพันธ์ด้วยคำพูดโคมลอยได้

หารู้ไม่ว่า สีหน้าของเหมยฉางซูยิ่งเย็นชา เหม่อลอย ยิ่งโหมกระพือเพลิงโทสะของจิ้งหวังให้คุโซนรุนแรง ขณะเดียวกันก็ยึดเอาความเงียบของอีกฝ่ายว่าเป็นการยอมรับ ยิ่งจิ้งหวังนึกถึงความทุกข์ทรมานและอับอายบนใบหน้าหนีหวงจวิ้นจู่ที่อ่อนระทวย สิ้นหวังอยู่บนขั้นบันได

ความเดือดดาลยิ่งทะลักทลายจนสุดระงับ

เหมยฉางซูเข้าใจ เหมยฉางซูยอมรับการสำแดงออกของจิ้งหวัง แม้เมื่อจิ้งหวังสะอึกเข้าไปคว้าคอเสื้อกระชากเข้ามา

มือหนึ่งบีบแน่นบนบ่า ลมหายใจร้อนระอุแทบจะรดลวกผิวหนังเย็นยะเยียบของอีกฝ่าย

กระแสไอร้อนหอบหนึ่งท่วมทะลักกลางใจเหมยฉางซู พร้อมกับรอยยิ้มขื่นขมผุดขึ้นที่มุมปากเหมือนกับกำลังถามตัวเอง

ไม่รู้ว่าอะไรคือทหารหาญ ไม่รู้ว่าอะไรคือสนามรบเช่นนั้นหรือ

“ไห่เยี่ยน” สรุปว่า อาจบางทีทั้งเลือดเนื้อและหัวใจได้เปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบไปกับม่านหิมะครั้งนั้นเมื่อ 12 ปีก่อนแล้ว

แต่สิ่งที่ฝังลึกแทรกซึมถึงกระดูกเล่า ใช่เย็นเฉียบไปด้วยหรือไม่

 

เจ็บปวดอย่างแน่นอน สภาพการณ์ดำเนินไปโดยที่เหมยฉางซูรู้ว่าเซียวจิ่งเหยียนเป็นใคร หนีหวงจวิ้นจู่เป็นใคร

เพียงแต่เซียวจิ่งเหยียนไม่รู้ เพียงแต่หนีหวงจวิ้นจู่ไม่รู้

การอธิบายในท่ามกลางความไม่รู้ของเซียวจิ่งเหยียน การอธิบายในท่ามกลางความไม่รู้ของหนีหวงจวิ้นจู่จึงยากลำบาก