ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ในหนังของเปโดร อัลโมโดวาร์ (Pedro Almodóvar) สุดยอดผู้กำกับฯ ฉายา “เจ้าป้าแห่งวงการหนังสเปน” นอกจากจะถึงพร้อมไปด้วยศิลปะภาพยนตร์อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ด้วยความที่เขาเป็นคนที่ลุ่มหลงในงานศิลปะ เราจึงมักจะเห็นงานศิลปะชั้นดีปรากฏอยู่ในหนังของเขาอยู่เสมอ
ในหนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Pain and Glory (2019) ก็เป็นเช่นเดียวกัน มีงานศิลปะชิ้นเยี่ยมมากมายหลายชิ้นปรากฏให้เห็นในหนังเรื่องนี้ ในจำนวนนั้นเป็นผลงานของศิลปินผู้โดดเด่นคนหนึ่ง
ในคราวนี้เราจะเล่าเรื่องราวของเขาให้อ่านกัน ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า
กิเยร์โม เปเรซ บิยัลตา (Guillermo Pérez Villalta)
จิตรกร ประติมากร ศิลปินภาพพิมพ์ และสถาปนิกชาวสเปน
เขาเป็นศิลปินร่วมสมัย และจิตรกรโพสต์โมเดิร์นผู้ทรงอิทธิพลและมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของสเปน
เกิดในปี 1948 ณ เขตเทศบาลเมืองตาริฟา จังหวัดกาดิซ แคว้นปกครองตนเองอันดาลูซิอา ประเทศสเปน เดิมทีเขาเริ่มต้นเข้าเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมในปี 1948 และประกอบอาชีพสถาปนิกอยู่ระยะหนึ่ง ในช่วงนั้นเขาออกแบบอาคารและพื้นที่สาธารณะหลายแห่ง ก่อนที่จะละทิ้งวิชาชีพนี้มาทำงานจิตรกรรมในที่สุด
แต่ถึงกระนั้น งานสถาปัตยกรรมก็ยังส่งอิทธิพลต่อรูปแบบการทำงานของเขามาโดยตลอดอยู่ดี
ในปี 1968 เขาย้ายไปอยู่ในกรุงมาดริด ในช่วงที่เกิดการระเบิดขึ้นของกระแสเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมอันเปี่ยมล้นด้วยเสรีภาพที่เรียกว่า La Movida Madrileña หรือ The Madrid Scene ที่เกิดขึ้นในกรุงมาดริด ช่วงเวลาที่ประเทศสเปนเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการมาเป็นประชาธิปไตย ภายหลังจากการตายของผู้นำเผด็จการ ฟรานซิสโก ฟรังโก ในปี 1975
บิยัลตาโอบรับกระแสเคลื่อนไหวนี้อย่างเต็มที่ ด้วยการทำงานจิตรกรรมสีสันสดใสฉูดฉาดที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะแมนเนอริสต์และบาโร้ก* จากการเดินทางเยี่ยมเยือนอิตาลีบ่อยครั้ง
จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะหลายคนยกเขาให้เป็นหนึ่งในศิลปินกลุ่มแมนเนอริสต์ยุคใหม่ (Neo-mannerist) และผสมผสานเข้ากับการใช้ตัวละครร่างกายบิดเบี้ยวแปลกประหลาดที่เคลื่อนไหวอยู่ในฉากของพื้นที่สถาปัตยกรรมภายนอกและภายในที่ตกแต่งประดับประดาอย่างฉูดฉาด วิจิตรพิสดาร ราวกับเป็นเวทีละครอันน่าพิศวง
ในช่วงกลางยุค 80s เขาพัฒนารูปแบบการทำงานมาใช้สีสันที่อบอุ่นและหม่นมัวกว่าเดิม โดยได้กลิ่นอายจากเทคนิคของจิตรกรชั้นครูในศตวรรษที่ 17 อย่างทิเชียน (Titian), ในยุค 90s เขาเปลี่ยนมาทำงานในแบบเหมือนจริงมากขึ้น
และเริ่มทดลองใช้สุนทรียะของรูปทรงเรขาคณิตสร้างองค์ประกอบภายในผลงานจิตรกรรมอันเปี่ยมเอกลักษณ์ขึ้นมา
ถึงแม้จะเผชิญกับความเชี่ยวกรากจากกระแสศิลปะนามธรรมของศิลปะสมัยใหม่ แต่บิยัลตาก็หาได้แยแสแคร์เวิลด์ไม่
เขาคงยังแน่วแน่ในการสร้างผลงานในแนวทางการทำงานศิลปะแบบ Figurative ที่ยึดหลักในการแสดงรูปลักษณ์ของวัตถุและบุคคลที่พบเห็นในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่ตามองเห็น
ดังเช่นในผลงานชิ้นสำคัญของเขาอย่างภาพวาด Group of People in an Atrium or Allegory of Art and Life or of the Present and the Future (1975-1976) ภาพวาดกลุ่มศิลปิน นักวิจารณ์ เพื่อนพ้องและคนในวงการศิลปะในมาดริดที่เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของสเปนที่มีชื่อเรียกว่า “Nueva figuraciÓn madrilereña (Madrid”s new figuration) ผู้หวนกลับมาหาการทำงานศิลปะแบบ Figurative ซึ่งมีบิยัลตารวมอยู่ในนั้นด้วย
หรือผลงาน Figures Leaving a Rock Concert (1979), Samson and Delilah or the Triumph of Venice (1981), Natural History (1987) และ Sanctuary (1996)
เป็นต้น
แต่ด้วยความสนใจในตำนานเทพนิยายกรีกและเรื่องราวทางศาสนาอย่างแรงกล้า ทำให้ผลงานของบิยัลตามีความแตกต่างจากจิตรกรกระแสหลักในสเปนยุคนั้น
เขามุ่งมั่นศึกษางานศิลปะแบบประเพณี หลงใหลความงามแบบอุดมคติในอดีต และไม่เคยปิดบังความลุ่มหลงในการใช้รายละเอียดอันท่วมท้นและการตกแต่งประดับประดาอย่างเลิศหรูในภาพวาด
ซึ่งตรงกันข้ามกับความนิ่งน้อยของศิลปะมินิมอลลิสต์ที่แพร่หลายในยุคนั้นอย่างสุดขั้ว ด้วยเทคนิคการวาดภาพอันประณีตละเอียดลออ ตามแบบประเพณีของศิลปินชั้นครูยุคโบราณ
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศิลปินหัวก้าวหน้าในกลุ่มเซอร์เรียลลิสต์อย่างจอร์โจ ดี คีรีโก (Giorgio de Chirico), ซัลบาดอร์ ดาลี และแน่นอน ศิลปิน “พ่อทุกสถาบัน” อย่างมาร์แซล ดูชองป์ ด้วย
ดังที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในผลงานในช่วงยุค 90s-2000s ของเขาที่ผสมผสานเรื่องราวในตำนานเทพนิยายกรีกเข้ากับรูปแบบเหนือจริงของศิลปะเซอร์เรียลลิสต์ โดยถ่ายทอดผ่านตัวละครประหลาดที่มีศีรษะและใบหน้ากลมเกลี้ยงไร้องคาพยพ
ซึ่งเป็นลักษณะของการตีความและถอดรื้อตัวละครและเรื่องราวในตำนานเทพนิยายคลาสสิคเสียใหม่ อันเป็นลักษณะของการทำงานศิลปะในยุคหลังสมัยใหม่ หรือโพสต์โมเดิร์นนั่นเอง
อาทิ ภาพวาด Dionisios encuentra a Ariadna en Naxos (Dionysus found Ariadne on Naxos) (2008) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานเทพนิยายกรีกในตอนที่ไดโอนิซุส เทพแห่งสุราเมรัยบังเอิญพานพบกับอารีแอดเน บุตรีของกษัตริย์แห่งครีตผู้มีหน้าที่อยู่โยงเฝ้าเขาวงกตที่กักขังอสูรร้าย มิโนทอร์ ผู้มีร่างกายเป็นคนแต่หัวเป็นวัว บนเกาะแน็กซอส
หรือภาพวาด Artista viendo un libro de arte (Artist viewing an art book) (2008) ที่ถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวันของศิลปินผ่านตัวละครไร้ใบหน้าที่ผสมผสานความแปลกประหลาดเข้ากับความธรรมดาสามัญได้อย่างโดดเด่น
ในขณะที่เสื้อผ้าตัวของละคร และการตกแต่งภายในฉากอันวิจิตรเปี่ยมสีสันก็สะท้อนรสนิยมด้านดีไซน์และพื้นเพทางสถาปัตยกรรมของเขาออกมาอย่างชัดเจน
ผลงานทั้งสองชิ้นนี้ของเขาก็ไปปรากฏอย่างโดดเด่นชัดเจนในหนังสองเรื่องของเปโดร อัลโมโดวาร์ อย่าง The Skin I Live In (2011) และ Pain and Glory (2019)
ในขณะที่ภาพวาดสีสันจัดจ้านองค์ประกอบอันประหลาดล้ำพิสดารของตัวละครคู่รักใบหน้าไร้องคาพยพอย่าง Dionysus found Ariadne on Naxos นั้นโยงใยไปถึงกามารมณ์อันพิสดาร กับการถูกจองจำและสูญเสียตัวตนของตัวละครในหนัง The Skin I Live In ได้อย่างลุ่มลึก
ส่วนภาพวาดศิลปินไร้ใบหน้ากำลังเปิดอ่านหนังสือศิลปะในห้องหับที่ตกแต่งอย่างเก๋ไก๋เปี่ยมสไตล์อย่าง Artist viewing an art book (2008) ก็สะท้อนรสนิยมในการใช้ชีวิตและการหวนกลับไปค้นหาตัวตนในอดีตของตนเองของตัวละครเอกในหนัง Pain and Glory ได้อย่างแยบคาย
นอกจากงานจิตรกรรม บิยัลตายังทำงานภาพพิมพ์ ประติมากรรมเซรามิกและบรอนซ์ รวมถึงทำงานออกแบบฉากละคร เฟอร์นิเจอร์ และงานออกแบบเครื่องประดับและสิ่งทออีกด้วย
ในปี 1985 เขาได้รับรางวัล The National Plastic Arts และได้รับรางวัลประกาศนียบัตรเกียรตินิยมเหรียญทองในสาขาวิจิตรศิลป์ ในปี 2006 บิยัลตามีผลงานสะสมและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำของโลกหลายแห่ง เช่น Museo Reina Sofia ในกรุงมาดริด, Museum of Fine Arts ในบิลเบา, Juan March Foundation ในปัลมา มาจอร์กา และ Andalusian Center for Contemporary Art (CAAC) ในเมืองเซบียา แคว้นปกครองตนเองอันดาลูซีอา ที่มีผลงานของเขาแสดงอยู่เป็นจำนวนมากจากการให้บริจาคและให้ยืมของศิลปิน, เขายังร่วมแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยอีกหลายแห่ง ทั้งในยุโรปและอเมริกา
เรียกได้ว่าเป็นศิลปินร่วมสมัยผู้มีผลงานโดดเด่นเป็นเอกอย่างแท้จริง
เข้าไปชมผลงานของเขาได้ที่นี่ https://bit.ly/33GucXC
*อ่านเกี่ยวกับศิลปะแมนเนอร์ริสต์และบาโร้กได้ที่นี่ https://bit.ly/2Qz1AKr