คำ ผกา | ไม่ไหวบอกไหว

คำ ผกา

ฉันเขียนและพูดอยู่เสมอว่า ณ ขณะที่เรากำลังรับมือกับโควิด-19 ปัญหาอื่นๆ ในประเทศยังคงเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และไม่ได้หายไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา pm 2.5 ที่ภาคเหนือ ปัญหาไฟป่าที่เชียงใหม่ห้วงเวลานี้เกิดขึ้นเกือบทุกวัน ซ้ำเติมสถานการณ์ pm 2.5 ที่แม้ไม่มีไฟป่าก็สาหัสอยู่แล้ว ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ฯลฯ

ปัญหาทั้งหมดนี้จะถูกซ้ำเติมจากความบอบช้ำทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่จะคลี่คลายเมื่อไหร่ ยังไม่มีใครตอบได้

สิ่งที่ฉันประหลาดใจมากกว่านั้นคือ สังคมไทย รวมถึงตัวฉันเองด้วยกลับมีข้อเรียกร้อง มีข้อกดดัน และมีความคาดหวังต่อการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ต่ำมาก

รัฐบาลประยุทธ์เวอร์ชั่น คสช. และรัฐบาลประยุทธ์เวอร์ชั่นรัฐบาลผสมหลังการเลือกตั้ง ล้มเหลวทั้งในเรื่องการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ภัยหนาว ภัยฝุ่น (เรียกว่าเรามีภัยกันในทุกฤดูกาล)

แต่ในท่ามกลางความล้มเหลวทั้งหมดนี้ รัฐบาลกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และมีทีท่าจะสามารถอยู่เป็นรัฐบาลไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรมาสั่นคลอนความมั่นคงของพวกเขาได้

มิหนำซ้ำ เรายังพบว่ากลุ่มคนที่ชื่นชม ศรัทธาในตัว พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เคยที่จะคลายความศรัทธานั้นอย่างน่าอัศจรรย์

เมื่อเราต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 และเราผิดพลาดที่ไม่ “ปิดเมือง” และปิดทุกพรมแดนเข้า-ออกประเทศตั้งแต่ต้นมือ แถมยังพลาดซ้ำที่ปล่อยให้มี super spreaders จากสนามมวย

แค่นั้นยังไม่พอ ฉันคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นภาวะขาดแคลน ทั้งหน้ากาก ชุดป้องกัน เรียกได้ว่า เครื่องอุปโภคพื้นฐานสามัญธรรมดาที่ไม่พึงขาดแคลนก็พากันขาดแคลนไปหมดสิ้น

การขาดแคลนอุปกรณ์ชุดป้องกันเหล่านี้ในภาวะที่ทั่วโลกเจอภัยไวรัส เหมือนกันหมดก็ยังพอเข้าใจได้

แต่ที่เข้าใจได้ยากมากคือ รัฐบาลกลับไม่สามารถช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้นในระดับที่เราคิดว่า รัฐบาลควรจะทำได้

และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกือบทุกโรงพยาบาลต้องมาขอบริจาคสิ่งนั้นสิ่งนี้กันทางโซเชียลมีเดียกันรัวๆ

ชาวบ้านร้านช่อง ประชาชนทั้งหลายต้องมานั่งเย็บชุด เย็บหมวก ระดมทุนซื้ออุปกรณ์ต่างๆ บริจาคให้โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ตัวประชาชนเองยังเอาตัวกันจะไม่รอด

ฉันคิดว่ารัฐบาลนี้คงมีอะไรดี หรือมีคาถาเมตตามหานิยมอย่างสูงสุด เพราะทั้งทำหน้ากากอนามัยขาดแคลน หรือจากหน้ากากอันละ 2.50 บาท กลายเป็นหน้ากากอันละสิบกว่าบาท แถมยังหาซื้อยาก

ตามมาด้วยทำให้โรงพยาบาลทั่วประเทศไม่มีอุปกรณ์พื้นๆ อย่างชุดป้องกันตัว หรือหน้ากากอนามัย (นี่ไม่พูดเรื่องเครื่องช่วยหายใจนะ)

ล่าสุด ยังสามารถทำให้ไข่หายไปจากตลาดอย่างลึกลับ แต่กลับไปโผล่ขายที่พรรคพลังประชารัฐ – ก่อนจะถูกเบรกไป

ไม่ใช่แต่เรื่องไวรัส ปัญหาอื่นๆ ก็ยังคาราคาซัง ถ้าพรรคเพื่อไทย หรือถ้าธนาธร พรรคอนาคตใหม่ (อดีต) เป็นรัฐบาล หรือเป็นนายกฯ ป่านนี้คงมีคนออกมาปิดถนน ไล่รัฐบาล อย่างชนิดที่ไม่แคร์ social distancing หรืออาจจะไม่ต้องถึงกับมีม็อบ เพราะทุกกรณีที่เขียนมาข้างต้น เพียงพอที่จะใช้กลไกรัฐสภาล้มรัฐบาลได้อย่างง่ายดาย

แต่รัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีสั่นคลอนเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีม็อบแรงกดดันใดๆ จากบุคลากรทางการแพทย์ ไม่มีหมอ พยาบาล โรงพยาบาลไหนออกแถลงการณ์ตำหนิรัฐบาลแม้แต่ปลายก้อย

เรียกได้ว่า คำน้อยไม่พูดให้สะเทือนใจกัน

พูดอย่างชาวบ้าน ฉันแปลกใจกับความอดทนของหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดว่าทำไมถึงมีเมตตาจิต มุทิตาจิตต่อรัฐบาลนี้สูงเช่นนี้

ไม่เคยคิดจะนำพาต่อการตัดสินใจผิดพลาดของรัฐบาล ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับงานอันหนักหน่วงนี้มาไว้บนบ่า

โดยไม่ปริปากบ่น ก้มหน้าก้มตาขอบริจาคสิ่งของเงินทองจากประชาชน แล้วก็ก้มหน้าก้มตาแบกหามภาระอันหนักหน่วงนี้ต่อไปโดยไม่มีจินตนาการเลยหรือว่า เอ๊ ถ้าเป็นพรรคอื่นเป็นรัฐบาล ถ้าเป็นคนอื่นเป็นนายกฯ อะไรๆ มันจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ไหม?

ช่วยไม่ได้เลย ทุกวันนี้ฉันคิดว่าคนไทยได้อยู่ภายใต้รัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์มานาน นานเกินไป นานจนเรารู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์คือชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของเรา

เหมือนเราเลือกพ่อเลือกแม่ไม่ได้ เกิดมาแล้วมีคนนี้เป็นพ่อเป็นแม่ จะชอบเขาไม่ชอบเขา เขาจะห่วยแค่ไหน เราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหน้าก้มตาเป็นลูกเขาต่อไปเรื่อยๆ

และถ้าเขาทิ้งอะไรพังๆ ไว้กับชีวิตเรา หน้าที่เรามีอย่างเดียวคือ ก้มหน้าก้มตาแก้ไขความพังนั้นโดยไม่ปริปากบ่น

เขาจะตะคอก ตะโกน จะทวงบุญคุณ จะบ่นว่าเหนื่อยยากเพื่อเรา (โดยที่เราฟังแล้วก็ไม่เห็นด้วย) เราก็ต้องอดทนฟัง หรือแกล้งทำหูทวนลม เราไม่ชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเป็น ที่เขาทำ แต่เราก็นึกไม่ออกว่า จะเอาเขาออกจากชีวิตเราได้อย่างไร เพราะคนเราเกิดมาเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกัน

ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่า คนไทยได้ชินไปแล้วกับการมีนายกฯ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ชินไปแล้วกับการมีรัฐบาลที่คิดได้แต่เรื่องแจกบัตรคนจน บัตรเติมเงินห้าร้อยบาท พันบาท คนจนกับการเติมเงินในแอพพ์คนชั้นกลางทีละสองพัน, สามพัน ไปเป็นครั้งๆ ใช้เงินภาษีประชาชนละลายแม่น้ำไปวันๆ โดยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด

เราทั้งชินและทั้งลดเพดานความคาดหวังจากรัฐบาลต่ำลงเรื่อยๆ

สมัยก่อน เราหวังให้รัฐบาลทำรถไฟความเร็วสูง สมัยนี้แค่รถเมล์วิ่งได้ไม่ดับกลางถนน เราก็ลุกขึ้นมาปรบมือ standing ovation ให้แล้ว

สมัยก่อนเรียกร้องเสรีภาพในการประท้วงรัฐบาล สมัยนี้แค่โพสต์สเตตัสตั้งคำถามต่อหน่วยงานราชการแล้วไม่มีใครมาลากคอออกจากบ้านไปด้วย พ.ร.บ.คอมพ์ ก็ยกมือไหว้ท่วมหัวว่า โอ๊ยยยย รัฐบาลเขาใจดีมีเมตตา ไม่ได้มาจับใครสุ่มสี่สุ่มห้านะ

สมัยก่อนกดดันให้รัฐบาลทำทั้งสามสิบบาทรักษาทุกโรค สร้างระบบประกันสังคม ทำโครงการเงินกู้ไมโครเครดิตแก่ชาวบ้าน เรียกร้องเรียนฟรี 12 ปี 15 ปี เรียกร้องเรื่องขยายโอกาสทางการศึกษา หมดยุคแล้วที่ประชาชนจะออกมาบริจาคช่วยนู่น ช่วยนี่ ที่พึงเป็นภาระของรัฐบาล

สมัยนี้ใครเห็นว่าการทำงานของราชการตรงไหนมีปัญหา มีความขาดแคลน รู้สึกว่าอยากจะยื่นมือไปช่วย ไปเป็นอาสาสมัคร ทำโดรนไฟป่า หรือไประดมทุนจะซื้ออุปกรณ์ช่วยดับไฟต่างๆ ก็ยังเสี่ยงว่า การช่วยเหลือนั้นอาจผิดกฎหมาย ผิดระเบียบราชการ เสี่ยงว่า ความหวังดีของเราจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดูแลงานส่วนนั้นๆ อยู่

สรุปสมัยนี้ใครหวังดีมาก เผือกอยากไปช่วย อยากไปบริจาคแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็อาจซวยมีความผิดได้อีก

สมัยก่อนเราเรียกร้อง active citizen เป็นหูเป็นตาให้กันและกัน ปกป้องผลประโยชน์ประชาชน เห็นอะไรไม่ชอบมาพากล ต้องเอามาตีฆ้องร้องเปล่า ถามหาความจริง หรือช่วยกันเปิดเผย แต่สมัยนี้ใครมาเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ อาจเสี่ยงเจอคุก เพราะเข้าข่ายปลุกระดมบ้าง เข้าข่ายสร้างความตระหนกบ้าง เข้าข่ายสร้างเฟกนิวส์บ้าง

มาตรฐานในชีวิตของเราค่อยๆ ตกลงไปในทุกมิติ รวมถึงมาตรฐานแห่งความเป็นมนุษย์ที่เรามอบให้กับตัวเราเองด้วย เราหมดจินตนาการที่จะบอกกับตัวเองว่า I deserve better – ฉันคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่านี้ – ฉันมั่นใจว่าคนไทยพูดประโยคนี้ไม่เป็นแล้ว ตอนนี้คนไทยเหมือนผู้หญิงที่โดนผัวซ้อมเช้า-เย็น แต่นึกไม่ออกว่าชีวิตที่ไม่มีผัวคนนี้จะเป็นอย่างไร หรือจะออกจากชีวิตคู่นี้อย่างไร เพราะ “ชิน”

สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันคือ วันไหนเขาซ้อมเราน้อยหน่อย เบาหน่อย แค่นี้ก็ดีใจแล้ว

การอยู่ในระบอบเผด็จการไม่ใช่แค่เรื่องของการขาดไร้ซึ่งเสรีภาพเชิงกายภาพ แต่ระบอบเผด็จการที่ต่อเนื่อง ระบอบเผด็จการเข้าไปกัดกร่อนที่จิตสำนึก ทำให้เราเลิกเชื่อว่า เราสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้

จากนั้นระบอบเผด็จการทำให้เราเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เท่าที่เขาให้ เท่าที่เราได้ แม้จะไม่ชอบ แม้จะไม่พอใจ – แล้วไง ทำอะไรได้เหรอ?

เราคงจะค่อยๆ ยากจนลง และเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับผลงานของรัฐบาลที่นานๆ ทีก็โยนเงินลงมาโปรยหว่านที สลับกับการออกพร่ำพรรณนาถึงความรัก ความห่วงใย ความทุ่มเทที่นายกฯ และรัฐบาลมีต่อประชาชน

เรียนรู้ที่จักนั่งฟังโดยไม่คัดค้านแม้ไม่เชื่อเวลา รมต.ออกมาพูดว่า ของไม่ขาดตลาด ไม่มีการกักตุน พร้อมๆ กับปล่อยให้พวกเขาอยู่ในอำนาจต่อไป ราวกับว่านี่คือ ธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นที่รู้กัน

จากนั้นเราก็มีมหรสพเอาไว้สร้างภาพลวงทางจิตวิญญาณว่าเรายังเป็นคนเต็มคนอยู่ เช่น นานๆ ทีก็มีภาพกองทัพอันเข้มแข็งมาล้างเมืองให้เรา (นี่ไง เขาแคร์เรานะ) มีอีเวนต์ นัดกันปรบมือให้หมอ พยาบาล (นี่ไง เราศิวิไลซ์จะตาย เราโคตรเข้มแข็ง เราเหมือนคนที่ปารีสเลยตัวเอง ประเทศเราสวยงาม รักกัน ชื่นชมยินดีต่อกันได้ แปลว่า ทุกอย่างยังโอเค)

ภาวะอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าภาวะหลอกตัวเอง ไม่ไหวบอกไหว และคนไทยกำลังเป็นเช่นนั้น