ทวีปที่สาบสูญ : ไม่ใช่ครั้งแรกเลย โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ 

ถนนกลางคืนมีสายลมพัดเย็น ฉันรู้สึกอย่างไรก็ยากจะอธิบายได้ จะว่าโล่งใจที่พ้นอีพี่สร้อยสายออกมา…ก็ไม่ใช่ ตามจริงแล้วฉันก็ตั้งใจจะทำงานที่นั่น ไม่เหนือความคาดหมายว่าจะเจออะไร เพียงแต่…ถ้าอัมพรจะไม่ออกลายเสียก่อน

ฉันไยดีอะไรกับหล่อน…คงนั่นกระมัง แม้แต่ตัวเองก็ตอบไม่ได้ รู้แค่ว่า ถ้ายังอยู่ในห้องที่มีหลอดไฟมอมๆ นั้นอีกต่อไป ไม่เร็วก็ช้า ถ้าหาเชือกไม่ได้

ฉันคงต้องลงไปก้นเหวสักวัน

มองดูแผ่นหลังของคนที่เดินข้างหน้า ร่างสูงในเสื้อคอปกสีดำ แบกเป้บนหลัง จู่ๆ วันหนึ่ง คนคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

หล่อนมาสู่ชีวิตฉัน หรือเป็นฉันที่จะผ่านไปในชีวิตหล่อน

แล้วเราสอง…จะไปด้วยกันจริงหรือ?

“อะ ไม่มีแรงเดินหรือ”

เกือบยั้งเท้าไม่ทันเมื่อหล่อนหยุดเดินกะทันหัน เหลียวมา

“ทำหน้าเหม่อลอยอีกแล้ว” ปากสวยว่า

คนคนนี้เป็นผู้หญิงที่ “น่าดู” เสียจริง ฉันไม่เคยเห็นใครลักษณะนี้มาก่อน หล่อนไม่เหมือนผู้ชายเท่าที่พี่จูเหมือน ไม่ดูเป็นปู๊อย่างปู๊เมียหรือพี่ฝน แต่หล่อนก็ไม่เหมือนแม่ญิงทั่วไป ไม่หวาน ไม่แข็ง แม้แต่สำเนียงก็ฟังไม่แหลม ไม่ห้าว ราวกับหล่อนเป็นอีกมนุษย์พิเศษ

เป็นคนไร้เพศ ในท่วงท่าที่เป็นหล่อน

“มองอะไร” ตามีประกายขบขันเมื่อก้มมองฉัน “อยากกินปลาทูทอดแล้วสิท่า”

“บ้า” ฉันหลุดปากออกไปอีกหน

เสียงหัวเราะชอบใจ ดูหล่อนจะอารมณ์ผ่องใสแจ่มใสขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ลงดอยมาได้

“เอาน่า แล้วจะติดใจ อย่าดูถูกของกินง่ายๆ แบบนั้นเชียว”
หล่อนพูดถึงปลาทูทอดว่า “เป็นของกินง่ายๆ” แต่หล่อนคงไม่รู้หรอกกระมังว่า เวลาที่ต้องกระเดือกอะไรก็ได้เข้าไป เพียงแค่จะให้พ้นความแสบท้องแสบไส้ หรือเวลาที่ได้แต่ฝันถึงอาหารอีกมากมาย ซึ่งต้องใช้สตางค์เท่านั้นแลกมา ปลาทูตัวหนึ่งก็เป็นของสูงส่งแทบตาย

หล่อนยังไม่ได้ฟังเรื่องราวของฉันเลย ว่าเคยผ่านพบอะไรมาอีกบ้าง นอกเหนือจากแค่บางอย่างที่หล่อนบังเอิญผ่านมารู้เห็น

หล่อนจะยังเป็นคนที่ปรานีฉันอีกไหม ถ้า…หล่อนรู้ว่า บางที ฉันก็ไม่ใช่คนดีอย่างใครๆ

“มานี่ มะ”

แขนตวัดมาโอบไหล่เพื่อรั้งให้เดินเคียงกัน ฉันสังเกตอีกว่า หล่อนมักจะพูดจาด้วยสำเนียงแปลกๆ แปร่งๆ และบางคำฉันฟังไม่เข้าใจ

“ใกล้ถึงแล้ว เดี๋ยวจะได้อาบน้ำ นอนพักกันสบายๆ”

“ใกล้อะไร…”

“ที่พักไง”

หล่อนเดินช้าลง เพื่อให้ขายาวๆ ก้าวเท่ากับขาของฉัน

“ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะ พี่สัญญา จะดูแลน้องเอง”

 

ฉันไม่เห็นดวงดาวใดบนท้องฟ้า แต่คำพูดที่ออกปากมาในช่วงเวลาหนึ่งนั้น เหมือนประกายแสงวิบวับไกลๆ…

หล่อนจะพูดจริงไหม ฉันไม่รู้หรอก หล่อนจะเปลี่ยนไปไหม ฉันก็ไม่รู้อีก ถึงวันหนึ่งหล่อนอาจกลายเป็นเช่นเดียวกับหลายคนที่ผ่านมา…เป็นผีห่าซาตาน ฉันก็ไม่อาจรู้ได้

แต่ฉันไม่มีทางอื่นใด นอกไปเสียจากจะฟังหล่อนในตอนนี้ และพยายามทำตัวดีเท่าที่ฉันจะทำได้

“ขอบคุณพี่มาก” พึมพำตอบไป

“แล้วตกลงจะไปกับพี่มั้ย หรือจะกลับบ้าน?”

“ฉันไปกับคุณได้จริงๆ หรือ”

หล่อนดูไม่ได้สนใจว่าฉันจะเรียกหล่อนอย่างไรกันแน่

“ได้สิ”

“…งั้นก็ไป”

หล่อนทำหน้าเหมือนดีใจ…มันเป็นท่าทางที่ดูแปลกตา หล่อนยินดีเพราะอะไร ทั้งๆ ที่กำลังจะมีภาระเพิ่มมากขึ้น

เถอะ เมื่อคนชวนดูไม่อนาทรร้อนใจ ฉันก็ควรพร้อมจะไปด้วยจนสุดทาง

“แล้วพี่อยู่กับใคร” ถามอีกครั้ง

แต่หล่อนไม่ตอบ หรืออาจไม่ได้ยิน ฉันไม่แน่ใจ

 

ห้องพักที่หล่อนพาฉันไขกุญแจเข้าไป ไร้หน้าต่าง ไม่กว้าง แต่ก็ไม่แคบ หากมีข้าวของตกแต่งอย่างน่าดู โคมไฟหัวเตียงให้แสงสีส้ม ขับทุกอย่างให้แลมีสีสันกว่าปกติ แม้แต่ภาพแขวนบนผนังหัวเตียง

ดูหล่อนชะงักนิดหน่อย ก่อนจะปลดเป้ลงวาง แล้วเข้าไปยืนมองภาพนั้น

หล่อนยืนจ้องอยู่นานจนฉันอดชะโงกดูบ้างไม่ได้

ไม่เห็นมีอะไรมาก เป็นภาพบึงบัวสีฟ้ากระจ่างตา แต่เพ่งไปนานๆ ก็เริ่มเห็นสีอื่นที่ปะปนจนดูมีความลึกซับซ้อน จากใกล้ถึงไกล ดอกบัวหลายช่อน่าเอ็นดู มองผ่านผิวน้ำยังมีเงาสะท้อนของหมู่ไม้

มุมบนซ้าย คล้ายจะเป็นฝีแปรงปาดป้าย ให้สีม่วงและชมพูสลับลับแล

“สวย…” ฉันเผลอพูดออกไป

หล่อนเบือนตามา

“ภาพของ Monet”

ฉันฟังไม่เข้าใจ

“คนวาดชื่อ-โม-เน่ต์” หล่อนออกเสียงอีกครั้ง “เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศส รูปนี้เป็นชุดสระบัวที่มีชื่อเสียงของเขา ดูสิ ขนาดภาพก๊อบปี้ห่วยๆ ยังสวยเลย”

แล้วหล่อนก็ถอนใจ

ฉันได้ยินคำใหม่ๆ อีกแล้ว – ก๊อบ-ปี้ ยังไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

หล่อนเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนขอบเตียง มองหน้าฉัน

“น้องเคยดูงานศิลปะมั้ย…นิทรรศการงานศิลปะน่ะ”

ฉันส่ายหัวทันที

“…ไม่”

แต่ฉันพอเข้าใจคำว่านิทรรศการ

“จริงสิ พี่ลืมไป” หล่อนตบหน้าผากตัวเอง

ทุกกิริยายังน่าดู…และน่าดูขึ้นเรื่อยๆ จนฉันแทบละสายตาจากหล่อนไม่ได้

ถ้าวันหนึ่ง ฉันเติบโตไป จะเป็นแบบหล่อนบ้างได้มั้ยนะ

“ขอโทษที เอาไว้พี่จะพาไปดูนะ…”

“พี่ชอบภาพวาดหรือคะ” ฉันเอ่ยถาม

“อือฮึ” หล่อนพยักหน้า รับคำด้วยสำเนียงประหลาดๆ อีกครั้ง “แฟนเก่าเขาชอบด้วยน่ะ”

 

หล่อนหายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว ยินเสียงทำธุระต่างๆ คงเพราะห้องไม่กว้าง ทุกเสียงจึงสะท้อนก้องออกมา ยินเสียงเสียดสีของเนื้อผ้า เสียงการเคลื่อนไหว ไม่นานช้าก็รู้ว่าหล่อนกำลังเริ่มอาบน้ำ

หย่อนก้นลงบนเตียงบ้าง ข้าวของของฉันยังคงอยู่ในเป้ใบใหญ่ที่หล่อนแบกมา ซิปเปิดอ้า หล่อนหยิบของออกมาบ้างแล้ว แต่ฉันยังไม่กล้าจะวิสาสะรื้อค้นต่อ

กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมา ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ

…เพลงภาษาอื่นที่ฉันฟังจับความไม่ได้

สำเนียงสูงต่ำน่าฟัง

ประตูเปิด หล่อนสลัดหัวเดินออกมา สวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น

ยิ่งดูผิวขาวผุดผาด สูงสง่า

“ไปอาบบ้างได้แล้ว” หล่อนบิดหัวแม่มือชี้ “เอ๊ะ มีเสื้อใส่นอนหรือเปล่า”

“…ถ้าเอามาหมดก็มี”

“เอ เดี๋ยวนะ” หล่อนตรงไปหากระเป๋า หยิบของออกทีละชิ้น “พี่ว่ามันตุๆ อยู่นะ”

ฉันหน้าร้อนขึ้น นั่นอาจเป็นกางเกงในที่ยังแห้งกรังของฉัน

เลือดประจำเดือนหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้ซักผ้าผืนใด ซิ่นและเสื้อที่เหลืออยู่ ล้วนแต่หมักหมมคราบไคล

“นี่อะไร” หล่อนชูผ้าผืนหนึ่งขึ้น

มันคือแถบซิ่นที่ฉันฉีกออกมา สำหรับทำผ้าซับเลือดฉุกเฉิน

หล่อนเป็นคนบอกเองว่า ให้โกยข้าวของต่างๆ ยัดกระเป๋าไว้ มีอะไรก็ใส่มา

ซึ่งฉันก็รู้ว่า…แทบไม่มีอะไรเลย

“เดี๋ยวค่อยส่งซักดีกว่า เอาอย่างนี้ ใส่ของพี่ไปก่อน”

หล่อนกวาดเสื้อผ้าของฉันไปอีกทาง แต่ยังดูชำเลืองมองอย่างชั่งใจ พักหนึ่งก็ขยุ้มลงไปไว้มุมห้อง

“หลวมหน่อย แต่น่าจะสะอาดกว่า”

 

ฉันรู้สึกอย่างไรก็บอกไม่ถูก เวลาได้ยินหล่อนพูดคำว่า…สะอาดกว่า…มันช่างฟังน่าอับอาย แต่ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อฉันแค่คนมอมแมมคนหนึ่งจริงๆ

หล่อนตัดสินใจได้ง่ายเหลือเกิน ว่าจะเอาหรือจะทิ้งของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในชีวิตของหล่อนคงไม่เคยพบความอัตคัดขัดสนกระมัง…หล่อนคงเป็นคนรวยสินะ จริงสิ ทุกอย่างที่หล่อนทำอยู่นี้ คงมีแต่คนรวยเท่านั้นจะทำได้

บางที ถ้าไปถึงกรุงเทพฯ ฉันอาจได้งานเป็นคนรับใช้ หล่อนอาจคิดเอาไว้แบบนั้น

มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เพราะนึกไม่ออกเลยว่าหล่อนจะได้ประโยชน์ใดในการพาฉันไปด้วย

ไม่เลวใช่ไหม…อย่างน้อยฉันก็จะมีที่อยู่ที่กิน ถ้าหล่อนดีกับฉันจริงๆ คงให้เงินเดือนบ้าง แต่ถ้าหล่อนไม่ให้ ฉันคงไม่มีน้ำหน้าจะกล้าทวงขอ

– ไม่เป็นไรหรอกอีพี่ มีเส้นทางให้ไปต่อตอนนี้ มึงก็โชคดีมากแล้ว-

“อ้าว เหม่ออีก ทำไมชอบทำตาลอยจริง” หล่อนยื่นมือมาตบหัวฉันแต่เพียงเบา “หัวเหม็นด้วย ไปอาบน้ำสระผมเลย แล้วเอาชุดนี้ไปใส่”

ฉันรับพับเสื้อผ้ามาจากมือหล่อน ชั่ววูบ เหมือนภาพเก่าๆ จะวาบซ้อนมา…ฉันเคยรับเสื้อผ้าจากใครมากี่คน

ไม่ใช่ครั้งแรกเลยที่สิ้นไร้อย่างนี้

“พี่เปิดน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว แต่ถ้าร้อนไปเย็นไปก็บอก เดี๋ยวจะปรับให้”

ฉันยกมือไหว้หล่อน และไม่รอว่าหล่อนจะรับไหว้หรือไม่ รีบหอบผ้าเดินเข้าไป ปิดประตู