การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เอาน้ำมนต์ชะมันอีก

ฉันคือหนอนนอนแน่นิ่งอยู่จริงแท้

ฉันเป็นแค่หนอนตัวหนึ่งซึ่งคือหนอน

จากนี้ไปใช้ชีวิตคิดแค่นอน

สิ้นหนาวร้อนกระดุกกระดิกพลิกตัวพอ

 

ฉันคือหนอนที่นอนใต้ใบไม้เน่า

ค่ำหรือเช้าปล่อยผ่านไปไม่คลานต่อ

ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงเพียงคอยรอ

สิ่งเดียวขอใบไม้ถมห่มตัวนอน

 

ฉันคือหนอนนอนนิ่งอยู่จริงแท้

ฉันเป็นแค่หนอนตัวหนึ่งซึ่งคือหนอน…

 

มีก้อนเมฆสวยงามเหลือเกินบนท้องฟ้า มันไหลตามกันเป็นกลุ่ม เกาะเกี่ยว ประเดี๋ยวเดียวก็ฟ่องฟูเหมือนกลุ่มลูกแกะสีขาว ว่าแต่แกะมันร้องยังไงกันนะ แบ๊ะ แบ๊ะ หรือแอ๊ะ แอ๊ะ หรือเอี๊ยว เมี้ยว ม้าว

อดหัวเราะออกมาไม่ได้ – นั่นมันเสียงแมว

บ้านเราเคยมีแมวตัวหนึ่ง ยังจำได้อยู่นะ เป็นแมวขนสีเทาอมชมพู…เออ มันเป็นยังไงนะ เทาอมชมพู ก็กระดำกระด่างเพราะขี้ดินขี้โคลน มันชอบไปหมกตัวนอนอยู่ในดงกล้วยนี่ แล้วขนเดิมของมันก็มีสีชมพู

แม่เรียกแมวตัวนั้นว่า นาค…

เอ๊ะ มันสะกดด้วย ค.ควาย หรือ ก.ไก่ กันแน่ นาค แบบพระยานาค หรือนาก แบบตัวนาก หรือว่า สีนาก อย่างที่เป็นสร้อยแหวนกำไล

นาก เงิน ทอง

บ้านเรามีเงินมีทองกับเขาบ้างไหมนะ อ๋อ มีซี พ่อแม่เคยเล่าว่า สมัยยายทวดเป็นสาว ถึงขนาดเงินคำตกไปใต้ถุนก็ไม่เก็บคืน ใครอยากได้ก็ลอดหัวไปเอาเอง เวลาจะตักเงินเบี้ยใช้ ขนาดใช้ “ก็อก” ตักเอาเป็นกองๆ

พ่อยังเล่าอีกว่า ยายทวดน่ะ สวมแหวนสวมสร้อย เป็นเครื่องเงินงามเต็มแขนเต็มข้อ นุ่งซิ่นผ้าทออย่างดี

เอ๊ะ พ่อหรือแม่กันแน่นะที่เล่าเรื่องนี้น่ะ พ่อซี…ไม่สิ ต้องแม่ เพราะแม่สืบสายเลือดตรงมากับตาทวดยายทวดนี่นา

อดไม่ได้จะหัวเราะออกมาอีก เรื่องตาทวดยายทวดก็ตลกดี ที่บ้านฉันเรียกว่าอุ๊ยหม่อน

มีเพลงร้องกันเล่นด้วยนะ…

หม่อนงายไปขี้ หม่อนดีไปขาย ลุงนอนตื่นสาย งัวควายบุ่นคอก!

แล้วใครเป็นคนต้นเสียง อ้ายกล้วยหรืออ้ายออม ไม่ ไม่ มันต้องเป็นอ้ายหมารอย

นั่นยังไง พอนึกถึงมัน มันก็โก่งคอมา

 

“ยกทัพโยธาเข้าป่ากล้วย! เห็นสาวสวยๆ ก็…ค-ย แข็ง!”

“เพลงอะไรวะ!” เสียงอ้ายกล้วยขัด

“เพลงร้องให้แม่มึง!” รอยจิ้มนิ้วชี้เข้าหน้าผากคนฟันหลอ

“ไอ้ชาติหมา!” อ้ายกล้วยร้องด่า “มึงจะพูดกับกูดีๆ ไม่ได้หรือไง”

“มึง-สิ-ชาติ-หมา” รอยหันไปด่าชัดถ้อยชัดคำ “พ่อแม่มึงก็ชาติหมา”

“ไอ้วอก!”

แล้วอ้ายกล้วยก็เข้าเตะต่อยกับอ้ายหมารอย ฝุ่นคลุ้งขึ้นจากฝ่าตีนที่ย่ำเหยียบไล่กัน เด็กกระออมเบิกตา สีหน้ากึ่งกลัวกึ่งกล้า คงกำลังคิดว่าจะช่วยใครดี

เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินล่องมาตามถนน

“อ้าว หนูปิมจะไปไหน” เป็นตัวฉันที่ยืนใกล้ในทางผ่าน

“ไม่รู้”

“อ้าว ทำไมไม่รู้ล่ะ แล้วยายร่อยไปไหน”

“ยายตายแล้ว”

ตายแล้ว…ยายร่อยตายแล้วหรือ ฉับพลันทันใด ก็เห็นใบหน้าขาวซีดผอมบาง นอนแน่นิ่งอยู่ในเรือนไม้ มีผ้าห่มสีเทาลายขลิบแดงตุ่นๆ คลุมจนถึงหน้าอก หนุนหมอนหกยัดนุ่น แต่พอชะโงกไปดูใกล้…ไม่ใช่ นั่นยายพัดต่างหาก

 

“ไหน มาดูหน้าหน่อยซิ”

ยายพัดที่เคยยื่นมือมาจับหน้า

“มึงนี่หน้าเหมือนแม่ โตขึ้นอย่าทิ้งมันล่ะ ได้ผัวอย่างพ่อมึงเป็นเวรเป็นกรรมของมัน…แต่เดี๋ยว…”

ฉันกำลังจะยิ้มกว้าง กลับต้องหุบยิ้มลง

“แต่ดูๆ ไป มึงก็ยังมีเค้าหน้าพ่ออยู่ ดูแลตัวเองดีๆ ระวังจะติดนิสัยมันมา”

“ยังไงกันแน่ยาย! พูดไม่เป็นคำพูด” นั่นคือคำพูดของฉัน “ไม่ต้องสอนมากก็ได้มั้ง ที่โรงเรียนมีครูอยู่แล้วหลายคน”

ยายพัดลุกขึ้นสะบัดซิ่นทันใด ตะโกนเรียกแม่

“มึงมาฟังลูกมึงพูดเดี๋ยวนี้! หน็อยแน่ะ! พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน!”

“ยายก็สอนแม่หน่อยซี้!”

“อีพี่!”

พื้นเรือนมันปลาบ บนบ้านหลังใหญ่ของยายพัด ฉันหัวเราะออกมาเสียงดัง คนคงได้ยินกันไปทั้งเรือน จนฉันกระโดดวิ่งลงจากเรือน โลดแล่นไปหาลานดินข่วง

 

ฝนตกลงบนลานข่วง หยดน้ำกระแทกลงพรูพรู พอน้ำฝนกระแทกลง ขี้ดินก็ยุบเป็นรู เกิดเป็นหลุมหลุม แต่ – แต่ละหลุม เหมือนมีช่อดอกไม้ใสๆ ผลิบานขึ้นทันใด แล้วก็หุบกลีบฉับฉับ

เราวักมือรองน้ำฝนขึ้นรดหน้า อันที่จริง ถ้าไม่รองมือรดก็จะหัวเปียกอยู่ดี

แต่ความสดชื่นนี้ ย่อมจะเทียบเท่ากันไม่ได้ กับการปล่อยตัวเองให้เปียกจนชุ่มทั้งหัวหูเสื้อผ้า

เด็กกะออมโลดแล่นออกไปข้างหน้าแล้ว

หน้าเปื้อนขี้มูกที่มักเหยเกเพราะการร้องไห้ ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ในฝนพร่าง

“พี่! มาเร็ว! ขะใจ๋!”

“เออๆ กำลังจะไป”

“เดี๋ยว ให้กูไปก่อน!” อ้ายกล้วยอีกแล้ว เบียดตัวซ้อนมาจากข้างหลัง ตั้งท่าจะผลุนผลันนำหน้า

“มึงจะไปเบียดอีพี่มันทำไม!” เสียงอ้ายหมารอย

แล้วไม่ช้า ขี้ดินก็เหลวเละเป็นโคลนอีกคราว รอยกระโดดเข้าชกอ้ายกล้วย ร่างซูบเซียวกระเด็น แต่รอยเองก็ใช่ว่าจะสะอาดเอี่ยมตัว นอกจากหน้าตาหล่อเหลา อย่างอื่นเลอะเทอะมอมแมมพอกัน มีแต่ตัวฉันสวมเสื้อผ้าใหม่ยืนอยู่ใต้ชายคา

ฉันอยู่ใต้ชายคาตั้งแต่เมื่อไหร่…

เฝ้ามองดูฝนที่ร่วงหยดเป็นสาย มองไปยังกลุ่มคนที่ตีกันอยู่จนดินโคลนฟุ้งฝุ่นคละคลุ้ง

ไม่ใช่สักหน่อย นั่นคือฝอยฝน

ไม่ใช่อีก…นั่นเป็นหยดเลือดที่หยาดหล่น

มีเลือดสีแดงร่วงตกแหมะแหมะอยู่ในสายฝน ก่อนรอยจะโงหัวขึ้นมาจากร่างอ้ายกล้วย แล้วยิ้มใส่ตาฉัน

 

เราเป็นหนอน พวกเราคือหนอน พวกเรานอนที่นั่น

มึงกับกู พวกเราอยู่ อยู่ที่นั่น

มึงเป็นหนอน กูก็คือหนอน เรานอนตรงนั้น

ชีวิตแสนสั้น เพียงแค่นอนยาว แค่เราเป็นหนอน

 

“อีพี่!”

ฉันได้ยินพี่โฟแผดเสียงอีก และหนนี้ เต็มไปด้วยความหวั่นไหวในน้ำเสียง

“มึงเป็นอะไรไป! อีพี่! มึงลุกมาเดี๋ยวนี้!”

“…พี่…พี่…ลูก…ลูกเป็นอะไรไปแล้ว!”

เสียงแม่แทรกเข้ามาด้วย ทีแรกคล้ายว่าจะได้ยินจากที่แสนไกล แต่ก็ใกล้…ใกล้เข้ามาทุกที

ฉันเคยได้ยินเสียงนี้มาแล้ว เคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง

“พี่…พี่! ตื่นเถอะลูก…ตื่นเถอะ!”

 

“พี่…พี่! ตื่นเถอะลูก ตื่นเถอะ!…พี่”

ฉันสะดุ้งจนสุดตัว กระทั่งตัวเองหลุดออกมาจากความฝัน

“พี่ ตื่นเร้ว พ่อมาแล้ว”

ฉันลืมตาโพลงขึ้น แล้วก็เห็นหน้าแม่ พ่อ และพี่โฟ

“พี่โฟ…” ฉันขยับปาก

“มึงไม่ต้องพูด…ไม่ต้องพูดอะไรอีพี่” เสียงพี่โฟก้องเต็มสองหู

ก่อนที่หยดเย็นหนึ่งจะตกลงมาสู่ใบหน้าฉัน

นั่นคือน้ำตาของแม่…น้ำตาของแม่ที่เย็นมาก เย็นจัด จนมันซึมซาบเข้าไปในผิวเนื้อผิวหนัง แต่ขณะนั้น ฉันก็ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ซ่านไปทั่วร่างกาย แต่ก็ยังไม่อาจเคลื่อนไหวได้

ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่ดังขึ้นเท่าไหร่ หยดน้ำเย็นเยียบก็ตกลงผล็อยผล็อย ฉันอยากจะยกมือขึ้นไขว่คว้า อยากจะบอกแม่ว่าหยุดร้องไห้ได้แล้ว แต่ก็ยกมือไม่ขึ้นสักที

ยกไม่ได้สักที

“อีพี่!…อีพี่! มึงตื่นเดี๋ยวนี้!”

 

มีลมพัดกระโชกมาอีกวูบใหญ่ รั้งเอามะม่วงดิบหล่นปลิดจากขั้วมากมาย เสียงหล่นดังตุบตับ ตุบตับ ไม่ขาดสาย พายุในเดือนมีนาคมกำลังอื้ออึงมา อีกไม่ช้า ฝนก่อนปีใหม่เมืองก็จะมา พวกเรากำลังรอฝน หรือว่า กำลังจะรอให้พายุพ้นผ่านไป…ไม่สิ ทุกอย่างก็เรื่องเดียวกัน

แต่ฉันคงยังอยู่ในความฝัน…ยังฝันอยู่อีกแน่ๆ

ฝันซ้อนฝัน ซ้อนฝัน

เพราะเมื่อตื่นขึ้น ฉันก็ยังเป็นหนอน…

…ตัวฉันกำลังเป็นเพียงหนอน ฉันจึงควรจะต้องนอนนิ่งๆ ต่อไป ปล่อยให้บทกวีไหลออกมาจากในหัวนิ่มๆ ของฉัน

การเป็นหนอนนอนใต้ถ้ำใบไม้ กินเศษซากเข้าไป แล้วปล่อยให้ของเน่าเหม็นทั้งหลายกลั่นรวมกันไปเป็นขี้…ก็เข้าทีดีนี่นะ ถ้า…ฉันจะขี้ออกมาเป็นบทกวี

 

ฉันเป็นหนอน จะนอนแน่นิ่งตรงนี้

พวกเราทั้งหมดคือหนอน พวกนั้นมันรู้ดี

แต่ขี้ของฉันคือบทกวี…

…แต่บทกวีเป็นเพียงขี้จากสมองของฉัน

ย่อมไร้ค่าไร้ราคา เกินกว่าจะเด็ดมาส่งมอบกำนัล

ขี้ของฉัน มีค่าแค่บทกวี

บทกวี มีค่าแค่ขี้ของฉัน

พวกนั้น…พวกมันรู้ดี

 

“อีพี่!”

พี่โฟแผดเสียงขึ้นอีก และหนนี้ มีหยดเย็นกระเซ็นลงมาใหม่ พร้อมเสียงพึมพำอยู่ใกล้ๆ รอบตัว

“ผีเข้ามัน…หนาน! เอาน้ำมนต์ชะมันอีก!”